Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for the ‘My Librarian’ Category

Tags in my Class

 

การเรียนเทอมที่สองผ่านพ้นไปแล้ว…ตอนนี้ก็เหลือแต่รอโชคชะตาและความกรุณาของอาจารย์
เพื่อรอผลว่าเกรดแต่ละคนจะได้อะไรบ้าง…แต่สำหรับฉัน…ยอมรับกับโชคชะตาแล้ว
เพราะเทอมที่ผ่านมา…ถามว่าได้เรียนรู้อะไรไหม…อธิบายไม่ถูกเลยจริงๆ!!!

แต่คิดว่าได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง…ที่นึกไม่ถึงว่า…"มันมีเรื่องแบบนี้สอนในห้องเรียนด้วย"
แต่มันทำให้เราจำได้ขึ้นใจ…มากกว่าเนื้อหาสาระของวิชาที่เราเรียนไปซะอีก

Tags ที่ปรากฎในรูป เป็นคำที่คิดได้ช่วงใกล้ๆ สอบ ทั้งๆ ที่จำไม่ได้หรอกว่าเรียนอะไรบ้าง
แต่คำเหล่านั้น…เป็นคำที่พวกเราใช้กันบ่อยมากๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้
MAIS’ 51 ขอบคุณที่อยู่ข้างกันเสมอ…ฉันโชคดีมากแล้วที่มาเรียนแล้วเจอเพื่อนดีๆ

Read Full Post »


          หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยง
ไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาด เพื่อซื้ออาหาร
ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง
เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ
ได้รับความเสียหาย

          ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัว
ก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย
หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ
ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี
ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ

         สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง
ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
 ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามา
เห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง
และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง คือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอ
มีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง  
ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย


เธอทั้งหลาย… 
         เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร
แต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย   ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ
แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำ ของหญิงชาวบ้าน
ที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้  เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว  
เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ  
แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย  เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่
ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง  
ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิง
กระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน   


          เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะ ความสะเพร่าของผู้นำ
ที่
"ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์"   ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่
แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม
  ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง
พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง
  นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิง
หลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้
 ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย  
นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม  รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาอีกเล็กน้อย
เพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าลิงสงบได้ องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย 

          —กำลังอ่านเรื่ององค์กรและภาวะผู้นำ พอดีมีคนส่งเมลฉบับนี้มาให้ —
                     เลยเอามาโพสแจก…พรุ่งนี้จะเอาไปตอบข้อสอบ หุหุ

Read Full Post »

Best Careers 2009: Librarian

ได้อ่านบล๊อคของน้องวาย (บรรณารักษ์ชายผู้แสนขยันเจ้าเดิม)
เขียนถึงเรื่อง…บรรณารักษ์เป็นอาชีพที่ดีที่สุดของปี 2009

ตอนแรกนึกว่าตัวเองตาฝาดหรือฝันไปหรือเปล่า…มันขนาดนั้นเลยเหรอ!!??!!
พอเข้าไปอ่านต้นฉบับแล้วก็แอบภูมิใจเล็กๆ

http://www.usnews.com/articles/business/best-careers/2008/12/11/best-careers-2009-librarian.html

และมีสรุปข่าวไว้ในเว็บไซต์ของ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
“U.S.News & World Report รายงานเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2551
ยกให้อาชีพบรรณารักษ์เป็นอาชีพที่ดีที่สุดของปี 2009
เนื่องจากเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือผู้คนด้านข้อมูลและความรู้
เป็นที่ต้องการของหลายๆ องค์กร และรายได้ค่อนข้างดี”

อาชีพบรรณารักษ์เป็นอาชีพที่ช่วยเหลือผู้คนด้านข้อมูลความรู้…อันนี้คงใช่อยู่
ต่เรื่องรายได้ค่อนข้างดี…สำหรับประเทศไทยคงยังไม่ใช่
แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร…เพราะสำหรับบรรณารักษ์แล้ว…

การได้ให้บริการผู้ใช้ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และตรงตามความต้องการ
น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า (เขียนเหมือนตอบข้อสอบอาจารย์เลยแฮะ)

Read Full Post »

ภาพจากกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ
เรื่อง…เทคนิคการเขียนผลงานเพื่อการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติ
(บรรยายพิเศษ หัวข้อ “เขียนผลงานวิชาการอย่างไร ให้ได้รับการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติ")

เปล่าเลยนะ เจ๊บรรณฯ ไม่ได้เป็นวิทยากรเอง เป็นแค่ผู้ร่วมฟังคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ที่มาที่ไปของกิจกรรมที่จัดนี้ มีเบื้องหลังที่น่าภูมิใจอยู่
แต่คงไม่เล่าไว้ ณ ที่นี้ เดี๋ยวจะมีคนตามมาหมั่นไส้ถึงในสเปซของตัวเองอีก

เอาไว้เขียนอวดลูกอย่างเดียวก็คงพอแล้ว เพราะฉะนั้นเบื้องหลังของเหตุ
ที่ทำให้เกิดงานวันนี้ขึ้น…ฉันเก็บเอาไว้ภูมิใจคนเดียวก็ได้ หุหุ

บอกใคร…ใครจะเชื่อว่าเป็นบรรณารักษ์แล้วลำบาก ดูหุ่นสิ!!! อยู่ดีมีสุขสมบูรณ์ออกขนาดนั้น
สำหรับเหตุการณ์ที่ต้องจับไมค์ในห้องประชุมนี่…ไม่ใช่อะไรหรอก…ได้โอกาสขายของพอดี
เป็นบรรณารักษ์ต้องทำหน้าที่ sale manager ไปในตัวด้วย ขายของ(ที่ให้บริการ) ทุกที่ที่มีโอกาส
เดี๋ยวเค้าจะมาว่าเอาอีก…เป็นบรรณารักษ์แล้วทำอะไรบ้าง?!? เห็นนั่งอยู่แต่หน้าคอมทั้งวัน หุหุ

Read Full Post »

บัน-น่า-รัก

 

ใครไม่รักเรา…เราก็ไม่ว่า…ขอแค่พวกเรารักกันก็พอแล้ว
Together Everyone Achieves More (TEAM)

Read Full Post »

Library buildings‏


Kansas City Public Library (Missouri, United States)


The National Library (Minsk, Belarus)


UCSD Geisel Library (San Diego, California, United States)

Read Full Post »


     เคยผ่านตามาบ้างสำหรับแนวทางการให้บริการของร้านค้าต่างๆ ที่ระบุให้พนักงานจำรายละเอียดของลูกค้าได้
     เพื่อที่จะแสดงให้ลูกค้าได้รู้ว่า พนักงานใส่ใจคุณมากเป็นพิเศษนะ ถึงจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาได้
     ซึ่งเป็นการสั่งการให้ลูกน้องจำ หรือพนักงานเป็นคนจำได้เอง ก็สุดแล้วแต่ความสามารถของแต่ละร้านจะทำได้

     ถ้าเราแอบเข้าไปดูหลังเคาน์เตอร์ขายกาแฟราคาแพงหลายแห่ง จะพบโน๊ตเล็กๆ แปะอยู่เกี่ยวกับรายละเอียด
     ของลูกค้าที่มาใช้บริการประจำ ว่าคนไหนไม่ชอบอะไร หรือสั่งกาแฟแบบไหน รวมถึงรายละเอียดต่างๆ 
     ที่ memory ของพนักงานแต่ละคนจะบรรจุเข้าไปได้ในสมองของพวกเขา ซึ่งมันก็อาจจะดีกว่าบางร้าน…

     โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังว่าพนักงานเหล่านั้นจะจำรายละเอียดของเราได้ เพราะแต่ละวัน
     พวกเขาต้องเจอคนเป็นร้อยเป็นพัน ซึ่งยากแก่การจดจำ แต่เพียงแค่ถ้าพวกเขาทักทายเราด้วยความใส่ใจสักนิด
     เงยหน้าขึ้นมาดูสักหน่อยเวลามีคนเข้าร้าน ไม่ใส่เอะอะอะไรก็ "ร้าน 18 พอดี สวัสดีค่ะ…แต่ไม่เงยหน้ามองเลย"

     จริงๆ ไม่ต้องทักทายก็ได้ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไม่รู้ไม่เห็นไปเสียก็ได้ ทีนี้เข้ามาถึงเรื่องความจำของคนขาย
     แม้ว่าป้าคนขายน้ำที่คณะ แกจะไม่ได้เรียน MBA หรือได้รับการอบรม CRM มาจากสำนักวิชาไหนๆ 
     แต่ด้วยความใส่ใจของป้า ทำให้รู้ว่าอาจารย์คนนี้ชอบกินน้ำอะไรใช้แก้วขนาดไหน พร้อมคำทักทายและรอยยิ้ม

     ของแบบนี้ไม่ต้องเข้าฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรใดๆ เลย เพียงแค่ทำด้วยใจ ทำด้วยความใส่ใจ ก็สามารถทำได้ 
     ไม่ใช่ว่าแม่ค้าจำว่าเราชอบกินน้ำอะไร แล้วตัวเราจะกลายเป็นคนสำคัญ แต่ถ้านึกถึงว่าเขาใส่ใจในตัวลูกค้าเขา
     มันก็น่าชื่นชมไม่น้อย เพราะแต่ละวันเด็กกี่ร้อย อาจารย์อีกเท่าไหร่ บุคลากรและพนักงานอีก แต่เขาจำได้

     แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่สำหรับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำ มันก็น่าชื่นใจดี แม่ค้าถามว่าวันนี้คุณลูก (เขาเรียกฉัน)
     จะกินน้ำฝรั่งอยู่ไหม วันนี้มีชาเขียวมาใหม่นะคะ ลองชิมดูไหม (เป็น PR ด้วย เป็นนักการตลาดด้วย) 
     นำเสนอสินค้าใหม่ให้กับลูกค้า มีอาจารย์เดินมาและได้ยิน เลยขอสั่งชาเขียวบาง แม่ค้าแซวอาจารย์

     เพราะทุกวันอาจารย์จะกินชามะนาว (แถมยังจำได้อีกว่าไม่เปรี้ยวมาก) ทำให้อาจารย์ยิ้มแป้น ฉันก็ยิ้ม
     และตกลงว่าจะเลือกกินชาเชียวกันทั้งคู่ ฉันสวัสดีอาจารย์และถามว่าได้รับเมล์แล้วใช่ไหมค่ะส่งไปสองฉบับ
     อาจารย์บอกว่า สามครับ อ้อ!!! สองฉบับแต่ 3 ไฟล์ แล้วก็ยิ้มๆ ยังคิดในใจถ้าฉันจำข้อมูลอาจารย์ไม่ได้
     วันนี้ฉันคงอายแม่ค้าแน่ๆ เพราะขนาดว่าอาจารย์ชอบกินน้ำอะไร แม่ค้ายังจำได้ แม่ค้าสารสนเทศอย่างฉัน
     ต้องฝึกหัดลับสมองและจดจำให้มากกว่านี้ เพราะไม่งั้นอายแม่ค้าขายน้ำที่โรงอาหารแน่ๆ เลย

     

Read Full Post »

จากภาวะผู้นำตามแนวความคิดเดิม คือ การใช้คำสั่งและการกำกับควบคุม

     แนวคิดเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลได้อีกต่อไป

     ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรม

     และองค์การที่ปรับเปลี่ยนไปทั่วโลกมีแนวโน้มในอนาคตที่มุ่งเน้นให้องค์การ

     มีความสามารถในการยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังคงความมีประสิทธิภาพสูงอยู่นั้น

     ทำให้ผู้บริหารระดับสูงยากที่จะใช้แนวทางบริหารแบบเดิมให้ประสบความสำเร็จ

     เหมือนในอดีตได้อีกต่อไป ภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้

     มีผลกระทบต่อองค์การและผู้นำที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดเชิงกระบวนทัศน์ขึ้นใหม่

     ที่สามารถที่จะเผชิญต่อภาวะแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

     ได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น จึงคาดว่า…

1.   ผู้นำในอนาคตจะต้องยอมรับแนวคิดที่ต้องให้บริการ (service mentality)

     ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกองค์การ โดยเริ่มที่พฤติกรรมของผู้นำ

     ที่แสดงเจตคติบริการแก่ลูกน้องของตนเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนเหล่านี้

     ได้เรียนรู้และเกิดจิตสำนึกการให้บริการแก่บุคคลอื่นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก

     อีกทอดหนึ่ง ผู้นำจึงจำเป็นต้องเลิกทัศนะการเป็นนาย (powerful bosses) ของตนลง

     ในการยึดแนวคิดการมีน้ำใจบริการนั้น ผู้นำจะเป็นต้องเน้นค่านิยมด้านการมีความสัตย์ซื่อ

     ถือคุณธรรมยึดมั่นหลักการ (integrity and honesty) ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียดังกล่าว เป็นสำคัญ

2.   ผู้นำในอนาคตจะต้องมีมุมมองที่กว้างไกลระดับโลก (Global perspective)

     จะต้องชาญฉลาดและเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อปัจจัยทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุที่จะต้องเกี่ยวข้อง

     กับบุคคลที่หลากหลายวัฒนธรรม มีความแตกต่างของผู้ปฎิบัติงานในองค์การและผู้ที่เกี่ยวข้อง

     กับองค์การเพิ่มมากขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ผู้นำจำเป็นต้องมีความสามารถในการเข้าใจ

     และสามารถปฎิสัมพันธ์กับคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม รู้จักละเว้นการแสดงเจตคติ

     แบบการลงความเห็นตัดสินใดๆ หรือการใช้คำพูดเชิงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมอื่น

     แต่ใช้การติดต่อเรียนรู้โดยตรงด้วยมุมมองที่ดีต่อผู้อื่นเสมอ

3.   ผู้นำในอนาคตจะต้องเข้าใจองค์การรูปแบบใหม่จากมุมมองที่เป็นองค์รวม

     เพื่อให้การปฏิบัติงานหน้าที่ของทุกกลไกในองค์การมีลักษณะของการบูรณาการ

     ผู้นำต้องมีความสามารถและแสดงทักษะการทำงานแบบทีมงานได้ดี จะต้องมีทักษะ

     เชิงกลยุทธ์ในงานที่เป็นส่วนต่างๆ ขององค์การได้ดีจนประสานสัมพันธ์เกิดเป็นองค์รวมขึ้น

4.   ผู้นำในอนาคตจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเปิดกว้างเพื่อรองรับสิ่งใหม่

     ที่เกิดขึ้นได้ดี ต้องมีความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง (manage change)

     ผู้นำในศตวรรษที่ 21 ต้องชอบต่อความท้าทายและการทดลองใหม่ๆ รู้จักลดข้อจำกัด

     ของตนและองค์การให้น้อยลงและมีความกล้าเสี่ยงอย่างรอบคอบในการตัดสินใจ

     เกี่ยวกับด้านวิสัยทัศน์มากขึ้น

5.   ผู้นำในอนาคตจะต้องผูกพันต่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะต้องหมั่นพัฒนา

     ฝึกอบรมและหาประสบการณ์ใหม่ เพื่อคงความมีทักษะความรู้ความเข้าใจในการนำองค์การ

     แห่งการเรียนรู้ของตนให้สามารถก้าวทันกระแสโลก ผู้นำจำเป็นต้องมีทักษะ เช่น

     ทักษะในการเรียนรู้ และการทำความเข้าใจเชิงมโนทัศน์ด้วยตนเอง ทักษะด้านการสื่อสาร

     และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความสามารถในการบริหารและการทำงานแบบทีม

     การบริหารความขัดแย้งและเทคนิคการเจรจาต่อรอง ความสามารถก้าวทันเทคโนโลยี

     และเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ รวมทั้งการมีความรู้ความเข้าใจต่อพฤติกรรมเชิงการเมือง เป็นต้น

6.       ผู้นำในอนาคตจำเป็นต้องมีความสามารถสร้างความสมดุลได้ดี

     ระหว่างงานในตำแหน่งหน้าที่ผู้นำกับด้านชีวิตส่วนตัว รวมทั้งการสร้างความงอกงาม

     ด้านความรู้สมัยใหม่ที่เกี่ยวกับวิชาชีพของตน

 

     เอกสารอ้างอิง

     สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2544). ภาวะผู้นำ : ทฤษฎีและปฏิบัติ. เชียงราย :

สถาบันราชภัฏเชียงราย.

    

Read Full Post »

กำลังทำรายงานเรื่อง "ผู้นำและภาวะผู้นำ" แต่เรื่องที่จะเขียนไม่ใช่เรื่องผู้นำใดๆ

แต่ไปเจอประโยคๆ หนึ่งในเนื้อหารายงาน เลยอยากเอามาบอกเล่าต่อ

"Together Everyone Achieves More : TEAM"

เวลาของการเรียนผ่านไป พอเข้าเทอมสองทุกคนปรับตัวกันได้มากขึ้น

แต่สำหรับใครที่อยาก "บินเดี่ยว" ก็ไม่ว่ากัน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ของ Class นี้แล้ว

พร้อมที่จะบินไปด้วยกัน (เพราะบินเดี่ยวไม่ไหว ตัวมันหนัก ใช่ไหมพี่น้องงงง)

พออ่านเจอประโยค Together Everyone Achieves More : รวมกันเพื่อความยิ่งใหญ่

รู้สึกหัวใจพองโตมาก เพราะตอนทำรายงาน ณ เวลานี้ ทุกคนช่วยเหลือกัน ทุกคนไม่ทิ้งกัน

อยากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปนะเพื่อนเรียนและเพื่อนเรา

Read Full Post »

ได้คุยกับน้องบรรณารักษ์ที่คุ้นเคยกัน น้องเขาบอกว่าห้องสมุดหนูเปิดทำการแล้วในวันนี้

หลังจากที่หยุดปีใหม่ พอวันที่ 2 ก็เปิดละ เพราะมหาวิทยาลัยไม่หยุดวันที่ 3 – 4

ตอนแรกที่สำนักหอสมุดจะเปิดในวันที่ 3 – 4 ซึ่งจริงๆ น่าจะหยุดยาวแล้วเปิดวันที่ 5

ยังคิดอยู่ในใจ…แล้วใครจะมาใช้บริการเนี่ย เปิดช่วงหยุดเทศกาลแบบนี้

แต่พอเห็นห้องสมุดอื่นๆ เค้าก็เปิดกันเป็นปกติ มันก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกตินะ

ที่สำคัญที่เคยถามตัวเองว่า…แล้วใครจะมาใช้บริการเนี่ย??

ก็เจ๊บรรณฯ อย่างฉันนี่แหละที่จะไปใช้บริการ เพราะค้นวารสารจากที่บ้านไม่ได้

ต้องไปถ่ายเอกสารจากตัวเล่มอยู่ดี แล้วค่อยเอามาปั่นรายงานและโครงร่างต่อ

ตอนนี้เลยเร่งให้ห้องสมุดเปิดเร็วๆ จะได้ไปหาเอกสาร (อยากให้มีผู้ใช้คิดแบบนี้เยอะๆ)

ห้องสมุดจะได้คึกคักและเป็นที่ๆ มีคนคิดถึง เหมือนเวลาอยากไปห้างสรรพสินค้าไง

ปล. แต่เจ๊บรรณฯ ชอบไปห้างมากกว่าไปห้องสมุดนะ อิอิ

Read Full Post »

Older Posts »