จากภาวะผู้นำตามแนวความคิดเดิม คือ การใช้คำสั่งและการกำกับควบคุม
แนวคิดเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิผลได้อีกต่อไป
ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรม
และองค์การที่ปรับเปลี่ยนไปทั่วโลกมีแนวโน้มในอนาคตที่มุ่งเน้นให้องค์การ
มีความสามารถในการยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังคงความมีประสิทธิภาพสูงอยู่นั้น
ทำให้ผู้บริหารระดับสูงยากที่จะใช้แนวทางบริหารแบบเดิมให้ประสบความสำเร็จ
เหมือนในอดีตได้อีกต่อไป ภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้
มีผลกระทบต่อองค์การและผู้นำที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดเชิงกระบวนทัศน์ขึ้นใหม่
ที่สามารถที่จะเผชิญต่อภาวะแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
ได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น จึงคาดว่า…
1. ผู้นำในอนาคตจะต้องยอมรับแนวคิดที่ต้องให้บริการ (service mentality)
ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกองค์การ โดยเริ่มที่พฤติกรรมของผู้นำ
ที่แสดงเจตคติบริการแก่ลูกน้องของตนเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนเหล่านี้
ได้เรียนรู้และเกิดจิตสำนึกการให้บริการแก่บุคคลอื่นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก
อีกทอดหนึ่ง ผู้นำจึงจำเป็นต้องเลิกทัศนะการเป็นนาย (powerful bosses) ของตนลง
ในการยึดแนวคิดการมีน้ำใจบริการนั้น ผู้นำจะเป็นต้องเน้นค่านิยมด้านการมีความสัตย์ซื่อ
ถือคุณธรรมยึดมั่นหลักการ (integrity and honesty) ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียดังกล่าว เป็นสำคัญ
2. ผู้นำในอนาคตจะต้องมีมุมมองที่กว้างไกลระดับโลก (Global perspective)
จะต้องชาญฉลาดและเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อปัจจัยทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุที่จะต้องเกี่ยวข้อง
กับบุคคลที่หลากหลายวัฒนธรรม มีความแตกต่างของผู้ปฎิบัติงานในองค์การและผู้ที่เกี่ยวข้อง
กับองค์การเพิ่มมากขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ผู้นำจำเป็นต้องมีความสามารถในการเข้าใจ
และสามารถปฎิสัมพันธ์กับคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างเหมาะสม รู้จักละเว้นการแสดงเจตคติ
แบบการลงความเห็นตัดสินใดๆ หรือการใช้คำพูดเชิงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมอื่น
แต่ใช้การติดต่อเรียนรู้โดยตรงด้วยมุมมองที่ดีต่อผู้อื่นเสมอ
3. ผู้นำในอนาคตจะต้องเข้าใจองค์การรูปแบบใหม่จากมุมมองที่เป็นองค์รวม
เพื่อให้การปฏิบัติงานหน้าที่ของทุกกลไกในองค์การมีลักษณะของการบูรณาการ
ผู้นำต้องมีความสามารถและแสดงทักษะการทำงานแบบทีมงานได้ดี จะต้องมีทักษะ
เชิงกลยุทธ์ในงานที่เป็นส่วนต่างๆ ขององค์การได้ดีจนประสานสัมพันธ์เกิดเป็นองค์รวมขึ้น
4. ผู้นำในอนาคตจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเปิดกว้างเพื่อรองรับสิ่งใหม่
ที่เกิดขึ้นได้ดี ต้องมีความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง (manage change)
ผู้นำในศตวรรษที่ 21 ต้องชอบต่อความท้าทายและการทดลองใหม่ๆ รู้จักลดข้อจำกัด
ของตนและองค์การให้น้อยลงและมีความกล้าเสี่ยงอย่างรอบคอบในการตัดสินใจ
เกี่ยวกับด้านวิสัยทัศน์มากขึ้น
5. ผู้นำในอนาคตจะต้องผูกพันต่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะต้องหมั่นพัฒนา
ฝึกอบรมและหาประสบการณ์ใหม่ เพื่อคงความมีทักษะความรู้ความเข้าใจในการนำองค์การ
แห่งการเรียนรู้ของตนให้สามารถก้าวทันกระแสโลก ผู้นำจำเป็นต้องมีทักษะ เช่น
ทักษะในการเรียนรู้ และการทำความเข้าใจเชิงมโนทัศน์ด้วยตนเอง ทักษะด้านการสื่อสาร
และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความสามารถในการบริหารและการทำงานแบบทีม
การบริหารความขัดแย้งและเทคนิคการเจรจาต่อรอง ความสามารถก้าวทันเทคโนโลยี
และเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ รวมทั้งการมีความรู้ความเข้าใจต่อพฤติกรรมเชิงการเมือง เป็นต้น
6. ผู้นำในอนาคตจำเป็นต้องมีความสามารถสร้างความสมดุลได้ดี
ระหว่างงานในตำแหน่งหน้าที่ผู้นำกับด้านชีวิตส่วนตัว รวมทั้งการสร้างความงอกงาม
ด้านความรู้สมัยใหม่ที่เกี่ยวกับวิชาชีพของตน
เอกสารอ้างอิง
สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์. (2544). ภาวะผู้นำ : ทฤษฎีและปฏิบัติ. เชียงราย :
สถาบันราชภัฏเชียงราย.