Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for ตุลาคม, 2007

ภาวะผู้นำ

 
          สัปดาห์นี้หัวหน้าลางานเพื่อไปซ่อมแซมสุขภาพทั้งอาทิตย์เลย
          ส่วนฉันก็ลางานไปซ่อมสุขภาพใจเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพิ่งผ่านมาสองวัน
          รู้สึกคิดถึงหัวหน้าขึ้นมาตะหงิดๆ ด้วยภาวะการรักษาการณ์แทน
          ทำให้มีเรื่องที่ต้องคิดและตัดสินใจแทนหัวหน้าอยู่หลายเรื่อง

          เมื่อก่อนหัวหน้าก็ให้โอกาสในการคิดและตัดสินใจเสมอๆ
          แต่ตอนนั้นสิ่งที่ฉันคิดและตัดสินใจ จะมีหัวหน้าคอยพิจารณากันเหนียวอีกรอบ
          แต่เมื่ออาทิตย์แล้วตัวเองก็ดันลา เรียกได้ว่าไม่ได้พูดจากันก่อนลาพัก
          ครั้งนี้ฉันเลยหวั่นๆ ในใจพิกล แถมหัวหน้าก็ลาพักยาวกว่าทุกครั้งด้วย

          ดีที่บารมีของท่านหัวหน้าได้สั่งสมไว้มากหน่อย คนที่มาสานต่องานอย่างฉัน
          เลยไม่ต้องลำบากลำบนอะไรมาก งานที่คั่งค้างของสัปดาห์ที่แล้ว
          หัวหน้าเขียนแปะกระดาษแผ่นเล็กๆ ไว้ที่หน้าชิ้นงานทุกงาน อธิบายทุกรายละเอียด
          ทำเอาหัวหน้ามือใหม่อย่างฉัน ทึ่งในความละเอียดรอบคอบและมุมมองความคิด

          และที่สำคัญหัวหน้าเดาใจฉันถูก มองฉันทะลุปรุโปร่งเลย ว่าฉันจะคิดจะทำอะไรต่อ
          เสนอทางเลือกให้เสร็จสรรพ แม้ไม่ได้เจรจากันต่อหน้า นึกแล้วก็ถือว่าฝีมือฉัน
          ยังห่างชั้นอยู่เอามากๆ สมแล้วที่ไม่ควรจะไปปกครองใครหรือตัดสินใจอะไรเอง
          เพราะความห่ามและใจร้อนของฉัน อาจจะทำลายตัวเองและองค์กรได้ 

          ปกติเวลาอยู่ที่ทำงาน โต๊ะทำงานฉันก็ติดกับหัวหน้า มีอะไรก็บอกเล่าและปรึกษาได้ทันที
          มีเพื่อนบางคนทักว่า โต๊ะอยู่ใกล้หัวหน้าขนาดนี้ ไม่กลัวเหรอ ทำงานได้ไง ไม่เกร็งหรือไง
          ก็หัวหน้าฉันไม่ได้ยักษ์นะ ถึงจะได้กลัว ฉันว่าหัวหน้าซะอีก ต้องกลัวความร้ายของฉัน
          แต่เราก็อยู่กันด้วยมิตรไมตรีเสมอมา ด้วยความสบายใจเหมือนครอบครัวเดียวกัน

          ไม่รู้ว่าวันหน้าถ้าฉันต้องเป็นหัวหน้าจริงๆ ฉันจะทำได้เหมือนที่หัวหน้าฉันเป็นหรือเปล่า
          หวังว่าวันเวลา คงจะหล่อหลอมฉันได้บ้างไม่มากก็น้อย หวังว่าฉันจะยังได้อยู่ตรงนี้ไปนานๆ
          ฉันไม่ได้หวังว่าฉันจะต้องได้เป็นหัวหน้า ไม่ว่าที่แห่งนี้หรือที่แห่งไหน สิ่งที่ฉันอยากได้คือ
          แค่ทุกวันที่ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าอยากมาเจอคนที่ทำงาน ฉันเริ่มคิดถึงหัวหน้าเพราะว่าไม่ได้เมาท์กันเลย อิอิ

        

Read Full Post »

กฤตนนท์

 
          ไม่รู้ว่าตอนฉันเป็นเด็กจะมีปัญหาเรื่องการคัดลายมือหรือเขียนชื่อตัวเองหรือเปล่า
          เพราะฉันเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่พอโตมาหน่อยรู้สึกว่าจะมีปัญหากับการตอบคำถามคนอื่นๆ
          ว่าชื่อของฉันหมายความว่าอย่างไร ฉันถามพ่อหลายครั้งแล้วว่าชื่อฉันแปลว่าอะไร
          พ่อบอกว่าเป็นชื่อนางเอกในนิยาย แปลว่า "นางฟ้า" มั้ง (มีมั้งต่อท้ายด้วย สงสัยจะมั่วนิ่มแน่ๆ)

          ตอนนี้ลูกชายวัยเกือบห้าขวบของฉัน มีปัญหาเรื่องการเขียนชื่อตัวเองลงในสมุดการบ้าน
          ถ้าการบ้านมีแค่หน้าเดียว ก็คงไม่มีการอิดออด แต่บางทีมีหลายหน้าเพราะเป็นวันหยุด
          แล้วลูกชายอิฉันไม่ชอบวิชาคัดไทยเอามากๆ จะชอบเฉพาะวิชาคณิตกับอังกฤษเท่านั้น
          แค่ชื่อ "กฤตนนท์ ชัยมินทร์" ใช้เวลาเขียนนานกว่าทำการบ้านหลายๆ หน้าซะอีก

          นึกถึงคำของเปิ้ล สโรชาบอกว่า ถ้าลูกแกชื่อยาวๆ สงสารตอนเป็นเด็กอนุบาลที่ต้องมานั่งคัดชื่อตัวเอง
          แปลว่าคุณนายโอ๋ ดวงใจ มองการณ์ไกลมากๆ ที่ตั้งชื่อลูกแค่พยางค์เดียว ส่วนแม่จอมเวอร์อย่างฉัน
          ตั้งชื่อลูกตัวเองยาวไปหน่อย ดีที่นามสกุลธรรมดาๆ ไม่ยาวมาก ไม่งั้นลูกคงโทษทั้งพ่อและแม่
          จริงๆ แล้ว ฉันตั้งชื่อลูกตั้งแต่สมัยเรียนแล้วว่า "เด็กชายชินกฤตนนท์ ชัยมินทร์"

          แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของเพื่อนเปิ้ล บอกว่าลูกแกต้องบ่นแน่ๆ ที่ต้องคัดชื่อตัวเองแบบยาวๆ
          ซึ่งมันก็จริงเลย แค่ชื่อกฤตนนท์ ยังไม่ค่อยจะยอมคัดลงในสมุดเลย ขอเขียนแค่แชทจะได้ไหม
          แม่เลยขู่ว่าเดี๋ยวครูจะไม่ให้สามดาวนะลูก ไม่ว่าเด็กสมัยใด ก็ยังกลัวเกรงครูยิ่งกว่าพ่อแม่
          พอมีใครถามว่า กฤตนนท์ แปลว่าอะไร ฉันก็บอกไปแค่ว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ"

          เพราะจริงๆ แล้ว คำว่า กฤตนนท์ เป็นการเอาชื่อพ่อกับแม่มาผสมปนเปกัน (และต้องขึ้นต้นด้วย ก.ไก่)
          ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องแปลว่าอะไร เหมือนกับที่ฉันจองชื่อลูกชายและลูกสาวอีกคนไว้
          เด็กหญิงกาญสินีย์ และเด็กชายกฤตชนินทร์ เรียกได้ว่า เป็นผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็ดี
          แต่เอาเข้าจริงๆ อาจจะไม่มีเด็กคนไหนอยากมาเกิดเป็นลูกอิฉัน เพราะกลัวต้องคัดชื่อประหลาดๆ ก็เป็นได้

         

Read Full Post »

คิดถึงทักกี้

          อยู่ๆ พ่อก็ถามฉันว่า ถ้าติด ubc ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
          และต้องจ่ายรายเดือนอีกเท่าไหร่ ฉันคิดว่าพ่ออยู่บ้านอ่านหนังสือพิมพ์คงเบื่อแล้ว
          คงคิดจะติดเคเบิ้ล เพื่อดูหนัง ดูกีฬา และฟังภาษาต่างด้าวบ้าง

          ฉันเลยบอกว่า เดี๋ยวจะโทรไปถามอ๋อมให้นะ เพราะบ้านอ๋อมเพิ่งติดไป
          แต่พ่อก็สารภาพมาแบบอ้อมแอ้มว่า จริงๆ แล้วอยากติด ubc เพราะจะเชียร์แมนซิตี้
          จะดูทักกี้ออกทีวีต่างประเทศบ้าง เพราะเห็นในหนังสือพิมพ์แล้วไม่อิน

          ฉันบอกพ่อไปโดยที่ไม่ต้องรอถามอ๋อม ว่าค่าติดตั้งสามพันห้า (ไม่รู้จริงไหม)
          ค่ารายเดือนอีกพันห้าต่อเดือน ห้ามยกเลิกก่อน 1 ปี และค่าไฟบ้านจะเพิ่มขึ้นมากกกก
          เพราะเกิดอาการฉุน!!เล็กๆ น้อยใจอยู่ลึกๆ นึกย้อนไปสมัยเป็นวัยรุ่น

          สมัยนั้นฉันกับน้องขอพ่อติด ubc เพื่อเชียร์แมนยู แต่พ่อกลัวว่าฉันกับน้อง
          จะดูบอลแล้วไปเล่นพนันบอลที่โรงเรียนกับเพื่อนๆ เลยไม่อนุญาตให้ติด
          จนน้องชายบอกว่า อยากให้แม่ถูกหวย จะได้หนีไปเรียนที่เมืองแมนเชสเตอร์

          มา บัดนี้ พ่อบอกว่า อยากติด ubc เพราะจะได้ดูหน้าทั่นอดีตนายกของเรา
          ฉันไม่กล้าเล่าให้น้องชายฟังเลย สำหรับเรื่องความคิดนี้ของพ่อตัวเอง
          กลัวน้องชายจะนอนไม่หลับไปสามวันสามคืนและจะเผลอไปเชียร์แมนซิกับพ่อ หุหุ

         
               ภาพประกอบจาก http://www.mancityth.com/

Read Full Post »

ทำโคมลอย

 
          ใกล้จะถึงเทศกาลลอยกระทงแล้ว ที่บ้านเชียงรายญาติพี่น้อง ปู่ย่าตายาย ช่วยกันทำโคมลอยกันยกใหญ่
          เพราะมีออเดอร์จากร้านต่างๆ หลายๆ จังหวัดสั่งซื้อมามากมาย จนญาติๆ ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว

          ตาพลที่ปกติก็อยู่บ้านเฉยๆ อ่านหนังสือพิมพ์ไปวันๆ หรือไม่ก็ไปช่วยยายอ่อนขายผัก
          แต่วันนี้ต้องมารับหน้าที่ทำโคมลอยช่วยน้าๆ เพราะว่าทำส่งกันแทบไม่ทัน เค้าสั่งวันละเป็นพันลูก

          ตาพลบอกว่า ถ้าเค้ามาสั่งซื้อตลอดปีก็คงดี จะได้ยึดเป็นอาชีพ คิดว่าคงส่งหลานเรียนเมืองนอกได้
          วันนี้เราจะมาดูวิธีทำโคมลอยอย่างคร่าวๆ แต่ถ้าจะให้ดีต้องฝึกทำเอง รับรองว่าไม่ง่ายไม่ยากและก็สนุก

        

          เริ่มจากต้องเหลาไม้ไผ่ทำเป็นวงๆ เตรียมไว้สำหรับทำปากโคมลอย นำกระดาษสาสีขาวแผ่นบางๆ
          มาทากาวต่อกันจำนวน 4 แผ่น สำหรับโคมลูกเล็กสุด นำกระดาษสี่เหลี่ยมจตุรัสแผ่นเล็กๆ
          มาเชื่อมต่อตรงที่หัวของโคมลอย ส่วนตรงปลายนำวงไม้ไผ่มาติดเป็นวงกลม ทำเป็นปากโคม

          

          นำไปตากแดดให้กาวแห้ง ถ้ายังไม่นำไปปล่อยหรือไปลอย ก็พับเก็บไว้ หากจะปล่อยต้องมีอุปกรณ์เสริม
          โดยนำม้วนกระดาษทิชชู่มาตัดเป็นท่อนเล็กๆ ชุบกับเทียนขี้ผึ้งและผึ่งไว้ให้แห้งสนิท 
          นำมาผูกติดที่ปากโคมลอย เมื่อเราจะปล่อยก็จุดไฟให้ควันเป็นตัวดันให้โคมลอยขึ้น 
          หากต้องการความสวยงามต้องปล่อยทีละหลายๆ ลูก เท่านี้ก็จะได้เห็นโคมลอยสวยสมใจอยู่บนท้องฟ้า 
         

Read Full Post »

 
          เธอจ๊ะ…
 
          ฉันได้ดูคอนเสิร์ตเรื่องราวบนแผ่นไม้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เธออย่าเพิ่งบ่นนะ ว่าทำไมเพิ่งมาเล่าเอาตอนนี้
          คือจะบอกว่า…ฉันเพิ่งมีโอกาสได้ดูบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก็เลยอยากเก็บบรรยากาศ
          คอนเสิร์ตเฉลียง "เรื่องราวบนแผ่นไม้" มาบอกเล่าให้เธอฟัง…

           

         คอนเสิร์ตนี้ อย่างที่บอกว่าจัดไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว สมัยนั้นทั้งพี่ดี้ พี่เจี๊ยบ พี่จุ้ย พี่นก พี่แต๋ง พี่เกี๊ยง
         ยังดูอ่อนเยาว์อยู่บ้าง เมื่อเทียบกับคอนเสิร์ตครั้งล่าสุด "งานดนตรีบำบัด ถาปัดจัด เฉลียงโชว์"
         ซึ่งฉันจะเอามาเล่าให้เธอฟังในภายหลัง…

         เหตุผลของการจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็เพราะแฟนๆ เฉลียง รุ่นเก่าๆ เรียกร้อง และเด็กรุ่นใหม่ๆ
         ที่เกิดไม่ทันสมัยเฉลียงดัง อยากดูคอนเสิร์ตเฉลียงบ้าง พี่ดี้บอกว่าการจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้
         ไม่ได้มาจากความเดือดร้อนขาดแคลนใดๆ ทั้งสิ้น…

         แต่เป็นความเดือดร้อนขาดแคลนทางความรู้สึกของทั้งคนเล่นและคนดู เป็นความรู้สึกมีความสุข
         และสบายดี เลยเป็นการปูทางเข้าเพลง "รู้สึกสบายดี" ด้านหลังของพี่ๆ เฉลียง มีกีตาร์วางเรียงราย
         อยู่เป็นสิบๆ ตัว ให้พี่ๆ ได้เลือกเล่นได้ตามอัธยาศัย…

          

         แต่พี่แต๋งก็เล่นเครื่องเป่าตามถนัด ซึ่งทำได้ดีไม่มีที่ติ รวมถึงน้องต้นไม้ลูกชายพี่แต๋ง
         ที่มาเป่าเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนเริ่มคอนเสิร์ต เมื่อแนะนำตัวเสร็จสรรพ
         ปล่อยมุขฮาทั้งคนดูคนเล่น และร้องเพลง "เที่ยวละไม" โดยพี่จุ้ย…

         เล่นกีตาร์โดยพี่เกี๊ยง พี่เจี๊ยบ และพี่ดี้ และตามด้วยเพลง "ต้นชบากับคนตาบอด"
         คราวนี้ออกมายืนบนเวทีกันครบ 6 หนุ่ม(น้อย) จากนั้นก็เป็นที่อิจฉาของหนุ่มๆ คนอื่นๆ
         เพราะพี่เกี๊ยงได้รับดอกไม้จากภรรยาตัวเอง!!…

         และพี่จุ้ยก็ร้องเพลงที่ตัวเองแต่งไว้ "แค่มี" มีสาว(เหลือน้อย) เอาดอกไม้มาให้พี่จุ้ย
         จนพี่แกดีใจกระโดดตัวลอย พี่ดี้แซวว่าเป็นญาติหรือหน้าม้ามาจากสมุยหรือเปล่า
         แล้วหนุ่มๆ ก็เล่นกีตาร์กันพร้อมกับเสียงร้องของพี่นก "ฉันคนง่าย สบายๆ ไม่ต้องมีพิธี" 

        

         แล้วก็ถึงคราวซึ้ง พี่เกี๊ยงมัวแต่เขินภรรยาตัวเองจนโดนพี่ๆ แซว และก็ถูกบังคับให้ร้องเพลง
         ที่เหมือนเป็นโลโก้ของตัวเอง "เข้าใจ" จากนั้นเปิดตัวพี่เล็ก สมชาย ศักดิกุล ที่มาร้องเพลง "หวาน"
         พี่แต๋งออกมาโชว์เพลง "เก็บใจ" by saxophone เป็นที่ซึ้งยิ่งนัก…

         แล้วพี่ดี้กับพี่แต๋งก็มาร้องเพลง "เราสองคน" และเพื่อเป็นการเอาใจคุณผู้ชมที่กริ๊ดพี่เกี๊ยง
         พี่ดี้ก็เรียกพี่เกี๊ยงออกมาเล่าเรื่องราวภาระของตนเองที่จะต้องซ้อมดนตรีเพื่อแสดงคอนเสิร์ตนี้
         และหน้าที่การงานประจำที่ทำอยู่ ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา…

         มีวันหนึ่งที่เกิดอาการท้อและพี่ๆ เฉลียงคนอื่นๆ ก็เอาเรื่องนี้ไปตั้งกระทู้ใน "ไทยมุง"
         และพี่น้องชาวไทยมุงก็ได้ให้กำลังใจพี่เกี๊ยงเยอะแยะมากมาย พี่เกี๊ยงก็เลยขอบคุณชาวไทยมุง
         และมีประโยคจากเพลงๆ หนึ่ง "แม้วันใดที่ใจเธอพ่ายจะมาแพ้ไปกับเธอ"…

        

         พี่เกี๊ยงก็เลยร้องเพลง "ยังมี" ให้กับทุกคนรวมถึงให้ตัวเองฟังด้วย จากนั้นสี่หนุ่ม
         พี่นก พี่เกี๊ยง พี่ดี้ และพี่เจี๊ยบ เล่นกีตาร์ ร้องเพลง "ไม่คิดถาม" และเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง
         พี่จุ้ยร้องเพลง "นิทานหิ่งห้อย" โดยมีพี่เจี๊ยบเล่านิทานหิ่งห้อย ฮากระจาย…

         มุขการเมืองเพียบ แบบว่าขาเหยียบคุกกันไปข้างหนึ่งแล้วหละ พี่ดี้ถือโอกาสเปิดตัวพรรค
         "ใครรักใคร" โดยมีสโลแกนคือ "คิดไข่ เจียวไข่ เพื่อไทยทุกคน" แล้วก็เข้าเพลง "นายไข่เจียว"
         แบบพอดิบพอดีตามสคริปที่กำหนดมา…

         พี่เจี๊ยบร้องเพลง "ย้ำคิด ย้ำฝัน" ที่พี่จิก ประภาส แต่ง "ไม่เกี่ยวกับรอบเอว ไม่เกี่ยวกับหางตา"
         หนุ่ม(น้อย) ทั้ง 6 มาร้องเพลง "กล้วยไข่" พี่ดี้บอกว่า คอนเสิร์ตนี้เป็นสังเวชณียคอนเสิร์ต
         คอนเสิร์ตที่เอาไว้ปลงสังเวช พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนร่วมในการจัดงานครั้งนี้…

         ด้วยการร้องเพลง "อื่นๆ อีกมากมาย" สุดท้ายกับเพลง "เรื่องราวบนแผ่นไม้" ตามชื่อการแสดง
         ด้วยฝีมือการแต่งของพี่จิก ประภาส (อีกแล้วครับทั่น) ร้องเพลงกันทั้งน้ำตา แล้วทุกคนก็อำลา
         เดินเข้าหลังเวที และกลับออกมาด้วยเพลง "ไม่รักแต่คิดถึง" และ "ฝากเอาไว้"…

        

         ปิดท้ายกับความรู้สึกซึ้งๆ ของเฉลียงทุกคน และเธอจ๋า…ฮีโร่ของฉันก็ปรากฎกายขึ้นบนเวที
         พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ได้รับเสียงปรบมืออย่ากึกก้อง เห็นแล้วตื้นตันและชื่นใจจริงๆ
         แถมพี่จิกยังนั่งร้องเพลงบนเวที (เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะได้เห็น)…

         "เรื่องราวบนแผ่นไม้" จบลงอย่างงดงามและจะอยู่ในความทรงจำของคนดูและคนเล่น
         และเรื่องราวที่น่าประทับใจนี้ ฉันเลยอยากมาบอกเล่าให้เธอฟัง หวังว่าเธอคงมีความสุข
         ไปกับเรื่องราวบนแผ่นไม้นี้ ด้วยความระลึกถึงเธอ และขอขอบคุณภาพประกอบจาก
         http://www.chaliang.com/ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

         จาก…ฉันเอง…
        

Read Full Post »

มันเป็นของแชทแล้ว

           

          หลังจากที่งุนงง งัวเงียอยู่ในรถเพราะเพิ่งกลับจากถนนคนเดิน และนัดเจอกับป้าหญิงเพื่อนแม่
        ที่พาแฟนฝรั่งมาเที่ยวเชียงใหม่แล้วอยากเจอแชท เลยนัดเจอกันที่สตาร์บัคส์ กาดสวนแก้ว
   
        และเมื่อมาถึงบ้านแล้ว แชทก็เกิดอาการตาสว่างและลิงโลดขึ้นมาทันทีทันใด
        น้าโภชน์เอากล่องพัสดุมาให้จากลำพูน เพราะลุงกัฟเพื่อนแม่ส่งของมาให้ที่บ้านลำพูน

        พอแชทเห็นว่าเป็นถุงคาร์ฟูเท่านั้น ก็รู้แล้วว่าข้างในเป็นอะไรอยู่ในกล่อง
        แชทรีบวิ่งหิ้วถุงนั้นไปอวดย่า พร้อมพูดซ้ำๆ ว่า มันเป็นของแชทแล้ว มันเป็นของแชทแล้ว

        เรียกได้ว่าดีใจจนหน้าตาตื่น วิ่งไปอวดพ่ออีก พ่อบอกว่าพ่อชอบอียอร์ขอได้ไหม
        แชทไม่ยอมให้ บอกให้พ่อเอาพิกเลทและอียอร์ที่แชทมีไปกอดแทนไปพลางๆ ก่อน

        ต้องขอขอบคุณในความกรุณาของกัฟ ที่อุตส่าห์ซื้ออียอร์ พิกเลท ทิกเกอร์ แกงก้าและรู
        มาให้น้องแชท คาดว่าพรุ่งนี้จะไปแลกได้อีกสองตัว และจะซื้อป่าฮันเดรดเอเคอร์ด้วย

        ก่อนเข้านอนแชทบอกแม่ว่า แชทดีใจและปื้มมมมใจมากๆ เลยแม่ มันเป็นของแชทแล้ว
        ความสุขใดไหนจะเท่าการที่เห็นลูกมีความสุข แม้จะดูเป็นเด็กวัตถุนิยมไปบ้างก็เหอะ อิอิ

         

Read Full Post »

บ้านคุณปลื้ม

 
          "บ้านคุณปลื้ม" ที่ว่า ไม่ใช่คอนโดแถวสุขุมวิท หรือบ้านที่กำลังสร้างใหม่เอาไว้เป็นเรือนหอ???!!!
          แต่เป็น apartment ที่เชียงใหม่ ไม่รู้ใครมาสร้างไว้ และไม่รู้ว่าใครเป็นคนเลือกชื่อนี้

          เคยเสนอชื่อนี้กับลุงเล็ก ตอนที่ลุงจะเลือกชื่อ apartment ของลุง แต่ปรากฎว่าแห้วไป เพราะลุงเล็กบอกว่า 
          ชะอมปลื้มแต่ลุงไม่ปลื้มนิ เดี๋ยวเมียด่าเอาอะสิ!!! ลุงเล็กเลือกที่จะใช้คำว่า "บ้านเราแมนชั่น" แทน ฟังดูดี 

          วันนี้มีโอกาสดีเลยเอารูปมาฝากสาวๆ ที่เข้ามาอ่านสเปซนี้ เผื่อว่าจะสนใจอยากจะเข้าไปพักอาศัย
          อยู่ในบ้านคุณปลื้มหลังนี้บ้าง ลองหากันเองเน้อ ว่าอยู่มุมในของเชียงใหม่ ไม่ใกล้ไม่ไกลและไม่แพง(มั้ง)

 
         

Read Full Post »

 
          สัปดาห์นี้น้องแชทไม่ได้ไปโรงเรียนเลย ถ้าไม่ไปที่ทำงานกับแม่ ก็อยู่บ้านกับย่า ไม่ใช่เพราะปิดเทอม
          แต่เพราะว่าน้องแชทเป็นอีสุกอีใส หลังจากกลับมาจากทะเลได้ไม่กี่วันก็มีตุ่มแดงๆ ขึ้นที่หน้า
          ตอนแรกแม่นึกว่าเป็นเพราะโดนยุงกัดตอนอยู่ที่พักหรือเปล่าเพราะยุงเยอะมาก (ป้าต่ายบอกว่าสิวหล่อ)

          แต่หลังจากนั้นก็มีตุ่มขึ้นที่หลัง ที่มือ แขน ขา และเท้า ทำให้ต้องรีบไปหาหมอ ก็เลยถึงบางอ้อ!!!
          ว่าแชทเป็นอีสุกอีใส ที่พ่อแม่ไม่เฉลียวใจเพราะแชทฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว นึกว่าจะไม่เป็นอีก
          ไม่น่าเสียเงินไปฉีดเลยนี่ แต่หมอบอกว่าอาจจะมีโอกาสที่จะเป็นได้แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม

          แต่จะไม่เป็นมากเท่าคนที่ไม่ได้ฉีด อย่างน้อยก็จะไม่มีไข้ หมอก็เลยให้ยาทาและยาแก้แพ้มากิน 
          และแชทก็ใช้ชีวิตตามปกติ ไปที่ทำงานแม่ยังเล่นเกมอยู่ ตอนเย็นๆ ก็มีสิ่งใหม่ที่ได้ทำคือ
          นั่งรถไฟฟ้าไปอ่างแก้วแล้วไปวาดรูปกัน น่าเสียดายที่มืดเร็ว เลยได้วาดแค่วันละรูปเท่านั้น
          ก่อนที่ยุงจะมากัด เพิ่มรอยแดงๆ ตามใบหน้าและแขนขา เดี๋ยวจะเป็นการซ้ำเติมสิวบนในหน้าให้แชทอีก

         

Read Full Post »

The Zigo My Hero

 
          ไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก จนนับนิ้วตัวเองไม่พอ
          เป็นเวลา 15 ปีมาแล้ว ที่ฉันมีฮีโร่ที่ชื่อ "ซิโก้" อยู่ในใจตั้งแต่สมัยละอ่อน
          จำได้ว่าตอน ม. 4 ไปกริ๊ดดดด "ดรีมทีม" อยู่ข้างสนาม และเพียงใจเพื่อนรัก
          ยังบุกตะลุยไปขอลายเซ็นต์ซิโก้มาฝากเราอีกด้วย คิดว่าตอนนี้คงยังมีอยู่
          เพราะฉันเก็บเรื่องราวทุกอย่างของซิโก้ใส่สมุดเล่มใหญ่ๆ ไว้
          สมัยนั้นต้องซื้อฟุตบอลสยามทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามข่าวคราวของทีมบอลไทย
          แถมยังต้องซื้อสตาร์ซ๊อคเกอร์เพื่อติดตามข่าวบอลแมนยูอีกด้วย
          เด็กผู้ชายห้องหกบอกฉันว่า ผู้หญิงอะไรอ่านแต่นิตยสารบอล แถมยังลงทุนซื้ออีก
          แต่ฉันก็ไม่ให้เด็กผู้ชายห้องหกยืมอ่านหรอก เพราะส่วนใหญ่เขาชอบลิเวอร์พูลกัน

          เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นวันอำลาสนามหรือแขวนสตั๊ดของซิโก้ เกียรติศักดิ์
          ปิดตำนานฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการบอลไทย เป็นวันสุดท้ายของซิโก้กับทีมชาติไทย
          ฉันพูดกับน้องชายว่า นี่ถ้าเราอยู่กรุงเทพ เราคงไปร่วมงานวันนี้ด้วยนะนี่ น้องชายบอกว่า
          ถ้าปีหน้ากิ๊กส์อำลาสนาม เราก็ต้องไปถึงโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดดิ (ถ้าไปได้ก็ดีสินะ)
          พูดถึงซิโก้หรือพี่โก้ที่ตอนนี้อายุก็ 35 ปีแล้ว เป็นคุณพ่อที่มีลูกสาวน่ารักถึง 3 คน
          จำได้ว่า น่าจะมีหนึ่งในนั้นที่ชื่อน้อง pirch ที่จำได้เพราะฉันก็จองชื่อนี้ไว้สำหรับลูกสาวด้วย

          ย้อนกลับไปในความทรงจำอันน้อยนิด ตอนทีมไทยชนะเลิศฟุตบอลซีเกมส์ ครั้งที่ 17 
          ภาพที่ซิโก้ตีลังกา ยังติดตาและติดอยู่ในความทรงจำอยู่ ทำให้ดรีมทีมและลุงบิ๊กหอย
          เป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศ หลังจากนั้นดรีมทีมก็ถือเป็นหน้าตาของวงการฟุตบอลไทย
          และซิโก้ก็เล่นฟุตบอลให้กับสโมสรธนาคารกรุงไทย ราชประชา และตำรวจ (หวังว่าคงจำไม่ผิด)
          จนไปค้าแข้งที่ต่างประเทศ โดยเริ่มจากทีมของรัฐปะลิศในมาเลเซีย และที่ดังๆ ก็ดิวีชั่น 1 ของอังกฤษ 
          คือทีมฮัดเดอร์สฟีลด์ ทาวน์ แต่ก็ผิดหวังกลับมาเล่นให้กับทีมสิงคโปร์ และที่รุ่งเรืองก็คือ
          มาเล่นให้กับทีมในเวียดนาม ทีมฮองอัน ยาห์ลาย และสุดท้ายกับทีมในเมืองไทย คือ BEC เทโรศาสน

          ถือว่าเป็นการลงจากตำแหน่งที่งดงาม เพราะว่าซิโก้เป็นนักฟุตบอล ที่มีระเบียบวินัย
          และไม่ค่อยมีเรื่องเสียหายส่วนตัวเท่าไหร่ และคงจะเป็นฮีโร่ของใครๆ ไปอีกนานเท่านานรวมทั้งฉันด้วย
          
          
               ภาพประกอบจากคุณบับเบิ้ล oknation

Read Full Post »

ต้มจืด 40

 
          สมัยเรียนปีหนึ่ง กลุ่มที่ฉันสังกัดมีชื่อว่า "ต้มจืด 40" ที่มาที่ไปก็คือมีใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่ม
          ไปซื้อต้มจืดมากินแล้วมันราคาถุงละ 40 บาท และก็กลายเป็นอาหารประจำของเด็กปี 1 หอ 8 ชั้น 1
          และกลายเป็นชื่อแก๊งค์ "ต้มจืด 40" ส่วนเรื่องวีรกรรมไม่ต้องพูดถึง คนทั้งหอพักมีคนรักซักสามสี่คน
          แต่คนที่เหลืออีกเป็นร้อยต้องบอกว่า ไม่ชอบเด็กกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก เพราะสมัยนั้น sotus ยังแรง

          กลุ่มเรามีสมาชิกเป็นเด็กผู้หญิงหอ 8 ชั้น 1 คือ รัก น้อง ดา อาร์ ผึ้งน้อย ผึ้งใหญ่ กวาง จิ๊บ แจง
          นิ๊งค์ หมวย แอนท์(ยักษ์) ปิ๊ก โอ และชั้นอื่นๆ ที่โผล่มาแจมคือ แอนท์(สวย) คุณหนูเดือน และนัตตี้
          ต้มจืด 40 ถึงกาลล่มสลายเมื่อเราขึ้นปี 2 เพราะส่วนใหญ่แอนตี้การว๊ากน้อง จึงไม่ขอเป็นว๊ากเกอร์
          ส่วนจิ๊บผู้เป็นว๊ากเกอร์เลยต้องออกจากกลุ่มไปก่อน แถมโดนฉันกับนังนัตตี้เถียงไปอีกว่า…

          ตัวเองมีดีแค่ไหน ถึงจะไปสอนน้อง ไปว่าให้น้อง พูดถึงเรื่องว๊าก สมัยนั้นเด็กมอ. ว๊ากกันหนักมาก
          เป็นเดือนๆ ไม่จบไม่สิ้นซักที แต่ปัจจุบันแค่สถานการณ์ภายนอกก็เลวร้ายพอแล้ว ขืนไปซ้ำเติมน้องอีก
          คงไม่มีใครคิดจะไปเรียน มอ. ปัตตานีเป็นแน่ และจริงๆ แล้วพูดได้เต็มปากอย่างไม่อายว่า
          ต้มจืด 40 แตกกลุ่มกันเพราะเรื่องผู้ชาย ไม่ใช่ว่าเพื่อนแย่งผู้ชายของเพื่อน แต่เพราะเพื่อนมีแฟน

          เลยไปอยู่หอนอกกับแฟน เรียกได้ว่าเห็นผู้ชายดีกว่า มันก็คงจริงๆ มั้ง คบกันไปก็ไม่เห็นจะดีขึ้น
          (สงสัยมีคนแอบคิดแบบนี้แน่ๆ) กลุ่มก้อนที่เคยเหนียวแน่น เฮไหนเฮนั่น กอดคอร้องไห้มาด้วยกัน
          ก็มีอันแตกคอกันไป ผึ้งใหญ่ ผึ้งน้อย แอนท์สวย มีแฟนเป็นรุ่นพี่ ก็แยกไปอยู่เป็นครอบครัว
          แจงมีแฟนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ก็แยกไปอยู่เองต่างหาก แอนท์ยักษ์กับโอมีแฟนเป็นเด็กเทคนิค

          ก็แยกกันไปแทบจะไม่กล้ามองหน้ากัน เดือนก็ไปอยู่กับเฮียจืด เช่าบ้านเดียวกับนัตตี้ และน้องกับดา
          ตามมาอยู่สมทบกับนัตตี้ เพราะอาร์กับรักมีแฟน กวางก็มีเพื่อนกลุ่มใหม่ ปิ๊กไปเรียน ม.กรุงเทพ
          ส่วนจิ๊บนี่แทบจะลืมกันไปเลย ตอนหลังก็โดนไทร์ออกไป หมวยกับนิ๊งค์อยู่ด้วยกันจนเรียนจบ 
          พอมาถึงปีสี่ ต้มจืด 40 ก็เหลือเพียงตำนาน น้อง นัตตี้ ดา และหนูหลินรุ่นน้องมาเช่าทาวเฮาส์อยู่

          แชร์กับเฮียจืดที่อยู่กับเดือน พอเขาเลิกกันเฮียก็อยู่คนเดียว มีเฮียน้องมาอยู่ด้วยเป็นพักๆ 
          ส่วนสี่สาวที่ยังโสด ก็อยู่ห้องตรงข้าม จริงๆ ห้องข้างล่างก็ว่างอีก 2 ห้อง แต่ยัยสี่สาว
          ยินดีที่จะนอนกองอยู่ห้องเดียวกัน จนถึงเรียนจบต่างคนต่างแยกย้าย ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
          เพราะสายสมร เพื่อนกลุ่มนางฟ้าทั้ง 7 ที่คบหากันหลังจากที่กลุ่มต้มจืดแยกวง มาบ่นให้ฟังว่า…

          เจอเพื่อน "รัก" ของฉัน ที่ทำงานที่ภูเก็ตเหมือนกัน แต่เขาทำเป็นไม่รู้จักหมอน ยิ้มให้ก็ทำเฉย
          เหมือนคนไม่รู้จักกันมาก่อน ทำเอาหมอนเกิดอาการน้อยใจ ฉันได้แต่ปลอบใจหมอนไป
          เพราะคิดว่า เค้าอาจจะกลัวอดีตที่เคยรู้จักพวกเราก็ได้ พอตอนปีสามปีสี่ ฉันก็มาคบหากับ
          เพื่อนกลุ่มนางฟ้า ซึ่งประกอบด้วย เปิ้ล หมอน ออย ทุม ปู แมว แก้ม ซึ่งเช่าบ้านอยู่ใกล้กัน

          แถมเพื่อนกลุ่มนี้เป็นเพื่อนในเอกบรรณฯ (เด็กมอ. ไม่เรียกเมเจอร์ เรียก เอก บ้านๆ ดีนะ) 
          ส่วนบางคนก็มาเรียนร่วม และก็ช่วยกันเรียน ช่วยกันทำงาน จนสนิทสนมกัน อาจจะเป็นไปได้ว่า
          เพื่อนกลุ่มต้มจืดคิดว่า ยัยน้อง ดา และนัตตี้ แปรพรรคไปรักกับคนกลุ่มอื่น ซึ่งมันก็จริง
          เพราะต่างคนต่างใช้ชีวิตต่างกัน ความคิดและจิตใจก็ต่างกัน แต่ถึงตอนนี้ความทรงจำดีๆ

          ก็ยังมีให้เพื่อนอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าฉันจะเหลือเพื่อนสนิทคือ นัตตี้อยู่คนเดียวเท่านั้น
          ส่วนเพื่อนกลุ่มนางฟ้า ก็ยังติดต่อกันและรับรู้ความเป็นไปของกันและกันอยู่เสมอ
          แต่ที่สนิทกันจริงๆ ก็จะเป็นเพื่อนในเอกบรรณฯ เพราะเพิ่งมาสนิทกันตอนปี 3 ปี 4 นี่แหละ
          เพราะได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเรียนด้วยกันมา และฉันก็ยังไม่ลืมภาพความทรงจำที่ดีๆ เหล่านั้น

         

Read Full Post »

Older Posts »