Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for เมษายน, 2009

เลิกดูดขวดนม

นานๆ ทีที่จะได้เห็นแชทใส่เสื้อผ้าที่ไม่ใช่หมีพูห์ (ยกเว้นชุดนักเรียน)
เสื้อผ้าชุดหล่อ (แชทเรียกแบบนี้) ส่วนใหญ่ที่ใส่ไปซัมเมอร์ก็จะเป็นหมีพูห์ตลอด
จนวันหนึ่งเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันตอนอนุบาลสามถามแชทว่า…
"ตั้งแต่ตอนซัมเมอร์อนุบาล 3 แล้วนะ นายยังไม่เลิกใส่ชุดหมีพูห์มาโรงเรียนอีกเหรอ"

ที่เขียนวันนี้ไม่ใช่จะพูดถึงเสื้อผ้าหมีพูห์แล้ว เพราะว่ามันเยอะเกินที่จะเขียนบรรยายได้หมด
เป็นความบ้าเห่อของแม่เอง และไม่รู้ว่าระหว่างแม่กับลูกใครกันแน่ที่หลงรักหมีพูห์มากกว่ากัน
แต่หลังจากวันสงกรานต์ที่แชทใส่ชุดนี้ไปวัด และช่วงวันหยุดที่ตะเวรดำหัวญาติๆ
แชทก็เกิดไอเดียว่าจะเลิกกินนมขวดแล้ว…จริงๆ เวลาไปโรงเรียนแชทจะไม่ดูดนมขวด

เหตุผลก็คืออายเพื่อนนั่นแหละ เพราะคงไม่มีใครที่จะอยู่ ป. 1 แล้วเอาขวดนมไปโรงเรียน
แต่ถ้าอยู่ที่บ้านแชทก็ยังขอดูดนมขวดบ้าง ในเวลาตื่นนอน เลิกเรียน และก่อนนอน
แต่พอหลังจากหยุดสงกรานต์หลายๆ วัน แชทก็หัดกินนมจากแก้วได้
โดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย มีตอนก่อนนอนเท่านั้นที่รู้สึกว่าคิดถึงขวดนมอยู่บ้าง

ตอนนี้น้องแชทจะโตเป็นหนุ่มแล้ว มีเหตุมีผลในทุกเรื่องแล้ว พอแม่ถามรู้สึกยังไงที่เลิกกินนมขวด
แชทก็บอกว่า มันก็ชินแล้วนะที่ไม่ได้กิน แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมาย
และก็ไม่เป็นภาระทั้งแม่และลูกด้วย เพราะแม่ก็เบื่อการล้างขวดนม ต้องเตรียมขวดนมไปไหนๆ
ส่วนลูกชายก็เบื่อที่จะต้องแอบเอาขวดนมซ่อน…เพราะอายกลัวคนอื่นจะมาเห็น

Read Full Post »

แก้เคล็ด

ปกติฉันจะใช้กระเป๋าตังค์สีแดงหรือสีชมพูอยู่เป็นประจำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสวยเลือกได้อะไร
เพราะทั้งหมดที่โชว์อยู่เนี่ย ไม่ได้ซื้อเองแต่ประการใด

เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครให้อะไรมาก็ต้องใช้แหละนะ
แล้วยังหน้าไม่อายชอบไปขอกระเป๋าตังค์ชาวบ้านเค้าอีกนะ
เรียกว่ากระเป๋าตังค์ใบไหนถ้าใครไม่ใช้แล้วโปรดส่งต่อ ฉันก็ใช้ต่อได้หน้าตาเฉย

เมื่อวานไปดำหัวญาติๆ ที่ลำพูน คุณนายปุ่นให้กระเป๋าตังค์สีดำมา
มันยังใหม่อยู่มากๆ เพราะชีไม่ถูกโฉลกกับสีดำ แต่ไม่รู้อะไรดลใจซื้อมาใช้
เลยต้องยกให้พี่สาวอย่างไม่มีข้อแม้ และฉันเองก็ไม่เคยใช้กระเป๋าตังค์สีดำเหมือนกัน

จึงต้องพึ่งไอเดียจากสติ๊กเกอร์ที่ติดตามรถ ถ้าเจ้าของไม่ถูกโฉลกกับสีรถตัวเอง
ก็ต้องหาสติ๊กเกอร์สีอื่นๆ มาแปะ บอกว่า รถคันนี้สีอะไรก็ว่ากันไป
สำหรับกระเป๋าตังค์ใบใหม่ของฉันจะเอาไปให้พระลงยันต์เหมือนพวกดาราทำก็คงลำบากไป

ต้องใช้วิธีแก้เคล็ดเหมือนที่คนอื่นๆ เค้าทำกัน นั่นก็คือ หาสติกเกอร์มาแปะไว้
"กระเป๋าใบนี้…สีชมพู"

Read Full Post »

แม่ได้ของฝากจากเกาหลีเป็นเครื่องสำอาง ETUDE แต่เด็กชายไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ทำให้เกิดอาการงอนเล็กๆ แต่ผ่านไปไม่นานก็มีเรื่องน่าตื่นเต้นกว่า
เพราะว่าพ่อเอกโชว์รูปที่ไปถ่ายมาให้ดู Teddy เน่าๆ ของแชทแอบไปเกาหลีด้วย!!!
ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าว่าพ่อเอกแอบเอาหมีเทดดี้เน่าของแชทติดตัวไป
ดีที่เด็กชายไม่ถามหาเพราะว่าติดกอดหมีพูห์เน่า…ไม่งั้นคงหากันป่วนไปทั่วบ้านแน่ๆ

พ่อเอกเลยเอาหมีเน่าของแชทไปถ่ายรูปกับพี่หมีที่ Teddy Bear Museum
ทำให้แชทอดตื่นเต้นไม่ได้ เลยมาจับมือแม่เพื่อให้แม่สัญญาว่าจะพาไปดู
แม่ก็ต้องสัญญาเอาไว้ก่อน เพราะกลัวว่าลูกจะงอนไปอีก ส่วนจะไปเมื่อไหร่นั้นค่อยว่ากันอีกที

แต่รอบนี้ไม่กล้าสัญญาว่า…รอให้ลูกพูดภาษาเกาหลีได้ก่อนค่อยพาไป
เพราะมุขพูดภาษาอังกฤษให้ได้ก่อน ค่อยพาไปดิสนีย์แลนด์ถูกใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว
น้องแชทมาโวยแม่ใหญ่เลย เพราะน้องปรางเพื่อนเขาไม่เห็นต้องพูดภาษาอังกฤษได้
เขาก็ได้ไปดิสนีย์แลนด์แล้ว!!! จริงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เพราะแม่ไม่มีตังค์พาแชทไปต่างหาก อิอิ

ถือเป็นของฝากจากเกาหลีที่แชทแสนจะดีใจ แต่แชทก็ไม่ได้อิจฉาหมีเน่าของตัวเองเลย
ที่ได้ไปเจอผองเพื่อนที่ museum ถ้าวันหน้าแชทต้องการให้เพื่อนหมีพูห์ของแชท
ไปพบญาติที่ museum แชทอาจจะต้องพาหมีพูห์ไปถึงห้องสมุดประชาชนนคร New York
เพราะเขาเก็บหมีพูห์ที่อายุเกินกว่า 80 ปี ไว้ที่นั่น ตกลงไม่รู้ว่าเป็นทริปในฝันของลูกหรือของแม่กันแน่
ทั้งป่าฮันเดรด เอเคอร์ ที่อังกฤษ ดิสนีย์แลนด์ ฮ่องกง รวมถึง teddy bear museum เกาหลี
เป้าหมายล่าสุดของเด็กชายแชท สงสัยพ่อกับแม่คงต้องเก็บเงินกันอีกหลายปี
กว่าทริปในฝันของน้องแชทจะเป็นความจริง อิอิ

Read Full Post »

안녕하세요 : coffee prince

มาดูกันว่า…ร้านที่เราเห็นนี้เป็นร้านอะไร ไม่ยากหรอกเน๊าะ ดูจากชื่อเรื่องก็พอรู้


มาดูข้างในกันดีกว่า…ป้ายแบบนี้…ขายเย็นตาโฟก็คงไม่ใช่

บรรยากาศเริ่มคุ้นๆ แล้ว…เห็นข้างหลังของโกอึนซานแล้ว!!!

ดูด้านข้างของบาริสต้าประจำร้านกันดีกว่า

บรรยากาศความวุ่นวายภายในร้าน

เจ้าของทริปนี้…ให้เครดิทเค้าหน่อย

เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง…ต้องถ่ายรูปลายเซ็นไว้เป็นหลักฐานสำคัญ (แล้วมันลายเซนใครเนี่ย)

ทริปนี้เอามาฝากเพื่อนโจ๊ก…เพื่อนบี…เพื่อนหนุ่ม…เพื่อนอ๋อม…กระตุ้นต่อมความยาก
เก็บเงินกันน๊อ…แล้วไป 안녕하세요 โคเรีย ด้วยกัน

Read Full Post »

เพิ่งมีโอกาสได้ดูรายการ English Breakfast ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทยเพียงไม่กี่ครั้ง
เพราะช่วงที่ผ่านมามัวแต่ไปเป็นนักเรียน เลยพลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้ดูทีวีไทยมีสาระกับเค้าบ้าง

อาจารย์ที่คณะอุตสาหกรรมเกษตรแนะนำรายการนี้มา บอกว่าผมต้องตื่นมาดูทุกวันหยุดเลย
ขนาดว่าอาจารย์จบจากเมืองนอกเมืองนามา แกก็ยังสนใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษอยู่

และรายการนี้เป็นรายการที่ "ได้ใจ" วัยรุ่นเลยทีเดียวละ ต้องขอบคุณทีมงานและสถานี
ที่ได้สร้างสรรค์รายการดีๆ แบบนี้ออกมา จริงๆ ถ้าทีวีมีรายการดีๆ แบบนี้เยอะๆ

เด็กไทยคงไม่แพ้ใครในโลก เพราะมีเมนูอาหารสมองให้เลือกเสพหลากหลาย
อยากให้มีต่อๆ ไปเรื่อยๆ และจะติดตามไปเรื่อยๆ เหมือนกัน (ขอสัญญา)

"รายการนี้ถือเป็นตัวอย่างของงานที่คนทำมีใจให้เต็มที่ งานจึงดีและคุ้มค่า"
เป็นคำนิยมจาก คุณพน แลหนังไทย ในมติชนสุดสัปดาห์ได้กล่าวไว้

Read Full Post »

บทความล่าสุดของคุณคำ ผกา แห่งบ้านสันคะยอม ทำให้เพื่อนข้างหมู่บ้านคนสันทรายอย่างฉัน
ถึงกลับต้องมามองหน้าตัวเองในกระจก สะท้อนดูความคิดและความคาดหวังของตัวเอง
บทความ "ยิ่งเรียนยิ่งโง่" อยู่ในมติชนฉบับที่ 1494 เป็นเรื่องที่พูดถึงการหาโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ ม. 4
ของลูกชนชั้นกลางหลายๆ ครอบครัว ถ้าเป็นคนสงขลาปัตตานีมาอ่านบทความนี้
อาจจะไม่อินเท่ากับคนเจียงใหม่เมืองในหมอก(ควัน) แห่งดอกไม้งามนามล้านนา

เพราะอะไรนะหรือฉันถึงกล้ากล่าวเช่นนั้น เพราะในบทความได้กล่าวถึงแม่ชนชั้นกลาง
ที่เข็นรถเข็นอยู่ในคาร์ฟู โลตัส เกือบทุกวันอาทิตย์ เพื่อหาซื้อของดีๆ มาบำรุงลูกรัก
ให้ฉลาด เติบโต แข็งแรง ให้ตายสิ ฉันอาจจะเคยสบตากับเจ๊ คำ ผกา ตัวเป็นๆ มาหลายครั้งแล้ว
ได้โปรดนะ ถ้าฉันได้เคยสบตาคุณในคาร์ฟู หรือโลตัสใกล้บ้านสันคะยอมของคุณ
โปรดรับรู้ว่า คุณช่างรู้ทันอิฉันอย่างแรง!!! อย่างเข้าไส้เข้าพุงกลมๆ กันเลยทีเดียว

ที่เขียนมานี่ มิได้หวังว่า คุณคำ ผกา จะมาอ่านเจอ แต่ฉันอ่านบทความนี้แล้ว
มันเหมือนสะท้อนตัวตนของฉันในวันนี้ ตอนนี้ และวันหน้าได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
"เธอเป็นเด็กสาวมาจากอำเภอเล็กๆ ไกลโพ้น เรียนหนังสือในโรงเรียนประจำอำเภอ"
แต่ฉันเรียน ม.ปลายในโรงเรียนประจำจังหวัด (เฉียดไปนิดเดียว)
"แต่งงานและมีลูกชาย-ลูกสาวเรียนในโรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัด"

สำหรับฉันแต่งงานและมีลูกชายเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด (เฉียดอีกละ)
ถ้าคุณแม่ในเรื่องที่เขายกมา อนุมานได้ว่า…ลูกเขาน่าจะเรียนโรงเรียนเอกชนย่านท่าศาลา
ซึ่งจะอยู่คนละฟากกับโรงเรียนเอกชนคู่แข่งที่อายุเกิน 100 ปี ซึ่งก็คือ รร. ที่ลูกอิฉันเรียนอยู่
มีการพูดถึงการคัด "เด็กครีม" ไว้เรียนในโรงเรียนของตนเองและโยนเศษหางกะทิไปโรงเรียนอื่น
ก็จะโรงเรียนไหนอีกละคะ ถ้าไม่ใช่โรงเรียนเอกชนชื่อดังทั้งฝั่งวัดเกตและฝั่งท่าศาลา

แต่เราต้องให้ความยุติธรรมกับโรงเรียนทั้งสองด้วยนะคะ เพราะมีอีกโรงเรียนหนึ่ง
ที่ได้คัด "เบบี้ครีม" ไปตั้งแต่เด็กอยู่ ป. 6 แล้ว และเป็นที่ใฝ่ฝันของพ่อแม่แห่งดินแดนล้านนาแห่งนี้
ที่อยากมีลูกเป็น "จ๊างน้อย" กันเกือบทั้งจังหวัด (รวมทั้งตัวอิฉันเองด้วย) จึงไม่แปลกอะไรเลย
ที่จะมีพ่อแม่ชนชั้น กลาง – กลาง (อย่างที่คุณคำ ผกา กล่าวไว้) ยอมทำงานในสถาบันเลี้ยงช้าง
เพื่อหวังว่าวันหนึ่ง ลูกจะได้มีโอกาสได้เป็นจ๊างน้อย จ๊างมหาวิทยาลัย และจ๊างวิชาการในวันหน้า

ในบทความเป็นการกล่าวถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจาก ม. ต้น สู่ ม. ปลาย แต่จริงๆ แล้วสมัยนี้
ลุ้นกันตั้งแต่อนุบาลเลยด้วยซ้ำ ว่าลูกจะจับฉลากเข้า รร. อายุกว่าร้อยปีได้หรือไม่
ลูกฉันจะสอบภาษาอังกฤษผ่านเกณฑ์เข้า EP (English Program) โรงเรียนเอกชนชื่อฝรั่งได้หรือไม่
ไม่นับโรงเรียนเอกชนสองภาษาที่เปิดใหม่ (อันนี้อยู่ในบทความ) ที่การันตีว่าถ้าเรียนแล้ว
ลูกจะได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนากันทุกคน ซึ่งสำหรับคนบ้านนอกๆ แล้ว
ถ้าลูกไปเรียนเมืองนอก ถือว่าเป็นคาถาเอาไว้พ่นโอ่เพื่อนบ้าน ให้นิ่งสนิทได้ดีเลยทีเดียว

นี่ยังไม่นับอีกหลายโรงเรียนที่ถูกกล่าวถึงในบทความ (ซึ่งถ้าฉันเป็นคนปัตตานีอาจจะไม่อิน)
อย่างเช่น "โรงเรียนที่ให้พ่อ-แม่เซ็นสัญญาถือหุ้นโรงเรียนไว้เป็นหลักประกันหลายแสนบาท"
เพื่อคำประกันว่าหากคุณเอาลูกออกจากโรงเรียน คุณต้องสูญเงินค้ำประกัน (รร.ย่านถนนมนตรี)
หรือโรงเรียนที่คัดเฉพาะครีมของตนเองไว้ และหาทางฉกเด็กครีมจากโรงเรียนอื่นมาอยู่ใน รร. ตน

อยากจะบอกว่า ที่พูดมาในบทความหนะ มันก็ถูกหมดแหละ เพราะในกระแสสังคมทุกวันนี้
การพูดถึง "ความรู้" มักจะตามมาด้วย "การแข่งขัน" ซึ่งจริงๆ แล้วเราให้ความสำคัญกับการแข่งขัน
มากกว่าสร้างเด็กและเยาวชนของเราให้เป็นคนที่มีความรู้ และคำว่า "สังคมฐานความรู้"
ก็ยังคงเป็นได้แค่คำสวยหรูที่นักวิชาการทั้งหลายจะยกมาอ้างในบทความวิชาการเท่านั้น
แต่ในทางปฏิบัติจริงเป็นเช่นไร ก็คงรู้แก่ใจกันอยู่ และสำหรับพ่อแม่ชนชั้นกลาง-กลางอย่างฉัน
อนุญาตให้คุณคำ ผกา รู้สึกสะเทือนใจยามสบตาฉันในวันที่เราบังเอิญพบกัน
ในวันอาทิตย์ ณ ดิสเคาน์สโตร์ได้ — โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ —

Read Full Post »

ตามธรรมเนียมฝรั่งวันที่ 1 เมษายนของทุกปีจะเป็นวันแห่งการโกหก หรือ April’ s Fool Day  
ส่วนที่มาที่ไปของวันแห่งการโกหกนี้ รบกวนท่านทั้งหลายไปหาอ่านเอาเองนะ
ในเมื่อฝรั่งมีวันแห่งการโกหก เจ๊บรรณฯ ก็มีวัน Lazy Day กับเค้าเหมือนกัน
แต่วัน Lazy Day ของฉันถ้าจะมีหลายวันในรอบปีเลยหละ เพราะวันไหนๆ ก็ไม่เห็นชีทำอะไร

จริงๆ กำลังเกิดความสงสัยอยู่ว่า ทุกวันนี้เรามีเหตุผลอะไรในการโกหกบ้าง
ซึ่งฟังดูมันอาจจะกว้างไป ลองซูมเข้ามาใกล้อีกนิดเอาแค่ว่า "เราจะโกหกคนใกล้ตัวเพราะอะไร"
เราอาจจะมีข้ออ้างสารพัด มีเหตุผลรองรับการกระทำของเราเพื่อให้ดูผิดให้น้อยที่สุด
แน่นอน…คนทุกคนต้องเข้าข้างตัวเองเสมอ และต้องมีแอบคิดบ้างว่าความคิดฉันถูกต้องแล้ว

ทีนี้เรามาลองหาเหตุผลว่าทำไม เพราะอะไร เราถึงคิดจะโกหกคนใกล้ตัวหรือคนรอบข้างเรา
จริงๆ ถ้าใช้คำว่าโกหกอาจจะดูแรงไปในความรู้สึก เพราะคนที่ถูกคนใกล้ตัวโกหกใส่
มันคงจะเสียความรู้สึกมากกกกกกก (ในความคิดของฉันนะ)
แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็นว่า "เขาแค่พูดความจริงไม่หมด" อาจจะฟังดูดีขึ้นบ้าง

แต่จริงๆ แล้ว มันก็ผิดศีลข้อมุสาฯ อยู่ดีนั่นแหละใช่ไหมพี่น้อง
แล้ววันนี้ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมหละ เปล่าเลยไม่ได้มีจุดประสงค์อะไร
เพราะระดับตอแหลเรียกแม่อย่างฉันนี่ ไม่ได้จะมารณรงค์ให้ใครเลิกโกหกหรอกนะ
หรือเพราะว่าฉันจะสำนึกได้ว่า การพูดความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย (แต่คนพูดอาจตายได้)

ก็เมื่อเวลาผ่านไปจนมีลูกเป็นตัวเป็นตนนั่นแหละ เพราะฉายาของฉันสมัยก่อนก็รู้ๆ กันอยู่
"นางสาวตอแหล" แบบต้นตำหรับเลย ใครอยากจะหาข้ออ้างหรือคำแก้ตัวสวยๆ
เพื่อโกหกหรือแค่ไม่กล้าพูดความจริงกับคนอื่น ขอให้มาปรึกษา
ฉันมีคำที่สรรสร้างปั้นแต่งให้ผู้คนนำไปใช้เอาตัวรอดได้เสมอ

แต่ ณ วันนี้ ปูนนี้ เวลานี้ ฉันกลับรู้สึกเหมือนอยากไถ่บาปให้กับตัวเองซะงั้น
ไม่คิดจะโกหกหรือพูดไม่จริงกับใครๆ จนมีบางคนคิดว่ายัยนี่ม้นจะพูดตรงไปถึงไหน
จริงๆ เขาก็สอนกันว่า "ให้คิดก่อนพูด แต่ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่คิด"

เป็นคำสั่งสอนที่น่ายึดถือปฏิบัติที่ดีทีเดียว แต่ ณ วันนี้ ปูนนี้ เวลานี้
ฉันกลับเหมือนกำลังรับกรรมที่ฉันได้ก่อไว้สมัยวัยกระเตาะ
เพราะอะไรหนะหรือ…เพราะฉันกำลังคิดว่ามีใครบางคนที่พูดความจริงกับฉันไม่หมดหนะสิ!!!

Read Full Post »