บทความล่าสุดของคุณคำ ผกา แห่งบ้านสันคะยอม ทำให้เพื่อนข้างหมู่บ้านคนสันทรายอย่างฉัน
ถึงกลับต้องมามองหน้าตัวเองในกระจก สะท้อนดูความคิดและความคาดหวังของตัวเอง
บทความ "ยิ่งเรียนยิ่งโง่" อยู่ในมติชนฉบับที่ 1494 เป็นเรื่องที่พูดถึงการหาโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ ม. 4
ของลูกชนชั้นกลางหลายๆ ครอบครัว ถ้าเป็นคนสงขลาปัตตานีมาอ่านบทความนี้
อาจจะไม่อินเท่ากับคนเจียงใหม่เมืองในหมอก(ควัน) แห่งดอกไม้งามนามล้านนา
เพราะอะไรนะหรือฉันถึงกล้ากล่าวเช่นนั้น เพราะในบทความได้กล่าวถึงแม่ชนชั้นกลาง
ที่เข็นรถเข็นอยู่ในคาร์ฟู โลตัส เกือบทุกวันอาทิตย์ เพื่อหาซื้อของดีๆ มาบำรุงลูกรัก
ให้ฉลาด เติบโต แข็งแรง ให้ตายสิ ฉันอาจจะเคยสบตากับเจ๊ คำ ผกา ตัวเป็นๆ มาหลายครั้งแล้ว
ได้โปรดนะ ถ้าฉันได้เคยสบตาคุณในคาร์ฟู หรือโลตัสใกล้บ้านสันคะยอมของคุณ
โปรดรับรู้ว่า คุณช่างรู้ทันอิฉันอย่างแรง!!! อย่างเข้าไส้เข้าพุงกลมๆ กันเลยทีเดียว
ที่เขียนมานี่ มิได้หวังว่า คุณคำ ผกา จะมาอ่านเจอ แต่ฉันอ่านบทความนี้แล้ว
มันเหมือนสะท้อนตัวตนของฉันในวันนี้ ตอนนี้ และวันหน้าได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
"เธอเป็นเด็กสาวมาจากอำเภอเล็กๆ ไกลโพ้น เรียนหนังสือในโรงเรียนประจำอำเภอ"
แต่ฉันเรียน ม.ปลายในโรงเรียนประจำจังหวัด (เฉียดไปนิดเดียว)
"แต่งงานและมีลูกชาย-ลูกสาวเรียนในโรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัด"
สำหรับฉันแต่งงานและมีลูกชายเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด (เฉียดอีกละ)
ถ้าคุณแม่ในเรื่องที่เขายกมา อนุมานได้ว่า…ลูกเขาน่าจะเรียนโรงเรียนเอกชนย่านท่าศาลา
ซึ่งจะอยู่คนละฟากกับโรงเรียนเอกชนคู่แข่งที่อายุเกิน 100 ปี ซึ่งก็คือ รร. ที่ลูกอิฉันเรียนอยู่
มีการพูดถึงการคัด "เด็กครีม" ไว้เรียนในโรงเรียนของตนเองและโยนเศษหางกะทิไปโรงเรียนอื่น
ก็จะโรงเรียนไหนอีกละคะ ถ้าไม่ใช่โรงเรียนเอกชนชื่อดังทั้งฝั่งวัดเกตและฝั่งท่าศาลา
แต่เราต้องให้ความยุติธรรมกับโรงเรียนทั้งสองด้วยนะคะ เพราะมีอีกโรงเรียนหนึ่ง
ที่ได้คัด "เบบี้ครีม" ไปตั้งแต่เด็กอยู่ ป. 6 แล้ว และเป็นที่ใฝ่ฝันของพ่อแม่แห่งดินแดนล้านนาแห่งนี้
ที่อยากมีลูกเป็น "จ๊างน้อย" กันเกือบทั้งจังหวัด (รวมทั้งตัวอิฉันเองด้วย) จึงไม่แปลกอะไรเลย
ที่จะมีพ่อแม่ชนชั้น กลาง – กลาง (อย่างที่คุณคำ ผกา กล่าวไว้) ยอมทำงานในสถาบันเลี้ยงช้าง
เพื่อหวังว่าวันหนึ่ง ลูกจะได้มีโอกาสได้เป็นจ๊างน้อย จ๊างมหาวิทยาลัย และจ๊างวิชาการในวันหน้า
ในบทความเป็นการกล่าวถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจาก ม. ต้น สู่ ม. ปลาย แต่จริงๆ แล้วสมัยนี้
ลุ้นกันตั้งแต่อนุบาลเลยด้วยซ้ำ ว่าลูกจะจับฉลากเข้า รร. อายุกว่าร้อยปีได้หรือไม่
ลูกฉันจะสอบภาษาอังกฤษผ่านเกณฑ์เข้า EP (English Program) โรงเรียนเอกชนชื่อฝรั่งได้หรือไม่
ไม่นับโรงเรียนเอกชนสองภาษาที่เปิดใหม่ (อันนี้อยู่ในบทความ) ที่การันตีว่าถ้าเรียนแล้ว
ลูกจะได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนากันทุกคน ซึ่งสำหรับคนบ้านนอกๆ แล้ว
ถ้าลูกไปเรียนเมืองนอก ถือว่าเป็นคาถาเอาไว้พ่นโอ่เพื่อนบ้าน ให้นิ่งสนิทได้ดีเลยทีเดียว
นี่ยังไม่นับอีกหลายโรงเรียนที่ถูกกล่าวถึงในบทความ (ซึ่งถ้าฉันเป็นคนปัตตานีอาจจะไม่อิน)
อย่างเช่น "โรงเรียนที่ให้พ่อ-แม่เซ็นสัญญาถือหุ้นโรงเรียนไว้เป็นหลักประกันหลายแสนบาท"
เพื่อคำประกันว่าหากคุณเอาลูกออกจากโรงเรียน คุณต้องสูญเงินค้ำประกัน (รร.ย่านถนนมนตรี)
หรือโรงเรียนที่คัดเฉพาะครีมของตนเองไว้ และหาทางฉกเด็กครีมจากโรงเรียนอื่นมาอยู่ใน รร. ตน
อยากจะบอกว่า ที่พูดมาในบทความหนะ มันก็ถูกหมดแหละ เพราะในกระแสสังคมทุกวันนี้
การพูดถึง "ความรู้" มักจะตามมาด้วย "การแข่งขัน" ซึ่งจริงๆ แล้วเราให้ความสำคัญกับการแข่งขัน
มากกว่าสร้างเด็กและเยาวชนของเราให้เป็นคนที่มีความรู้ และคำว่า "สังคมฐานความรู้"
ก็ยังคงเป็นได้แค่คำสวยหรูที่นักวิชาการทั้งหลายจะยกมาอ้างในบทความวิชาการเท่านั้น
แต่ในทางปฏิบัติจริงเป็นเช่นไร ก็คงรู้แก่ใจกันอยู่ และสำหรับพ่อแม่ชนชั้นกลาง-กลางอย่างฉัน
อนุญาตให้คุณคำ ผกา รู้สึกสะเทือนใจยามสบตาฉันในวันที่เราบังเอิญพบกัน
ในวันอาทิตย์ ณ ดิสเคาน์สโตร์ได้ — โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ —
Read Full Post »