อยู่ๆ ก็ได้มีโอกาสกลับไปบ้านเกิดโดยไม่คาดคิด ที่จริงก็รู้ล่วงหน้ามาหลายวันเหมือนกัน
ว่าจะต้องไปงานแต่งงานพี่หนึ่งกับน้องน้อยหน่า และที่จริงก็เพิ่งได้กลับบ้านไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
และก็ได้สัญญาไปกับพ่อแม่เหมือนกันว่าจะกลับไปตอนปลายเดือนตุลา (ตอนมีแข่งจักรยานที่ดอยตุง)
พ่อหมูอ้วนถามว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างที่บ้านเธอ ตอนแรกก็ไม่คิดจะสังเกตอะไร
ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป แต่พอมีคนทัก ก็เลยแอบสังเกตซักเล็กน้อย ตอนในงานแต่งงาน
ก็มีแต่คนคุ้นตา เพราะว่า มีหลายคนที่เคยเป็นคนคุ้นหน้ากันมาก่อน
ตอนเดินที่ big c ก็เหมือนเจอเพื่อนโรงเรียนหลายคน บางคนก็ยิ้มให้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทักทายใคร
เพราะกลัวหน้าแตกเหมือนกันที่จะต้องเกิดการทักผิดคน ที่บ้านก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ตาพล เอาหมามาเลี้ยงไว้ในบ้าน ไม่น่าเชื่อ จากการที่หมาเป็นแค่หมาเฝ้าบ้าน อยู่นอกบ้าน
กินอาหารแค่เศษอาหารวันละมื้อ แต่ด้วยความว่างจัดของตาพล ก็เลยเอาหมามาเลี้ยง
และดูแลเหมือนลูก น่าแปลกใจยิ่งนักสำหรับคนระเบียบจัดแบบตาพล
คิดๆ แล้วก็อยากให้เชียงราย – เชียงใหม่ ใกล้กันเหมือนตอนไปลำพูน
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาก คิดถึงเมื่อไหร่ ก็ไปหาได้สบายๆ ดูๆ ไปก็น่าสงสาร
ช่วงก่อน ยายอ่อน ก็เลี้ยงแมว แทนลูกแทนหลาน ตอนนี้ตาพลก็มาเลี้ยงหมา
แทนลูกแทนหลานอีกคนแล้ว สิ่งที่ไม่ค่อยเปลี่ยนสำหรับที่บ้านคือ น้ำที่เย็นจัด
ไม่ว่าฤดูกาลไหน เวลาอาบน้ำ แบบไม่มีน้ำอุ่น ปวดใจดีพิลึก และเสียงวัวในตอนเช้า
เราตื่นมาไม่ทันดูวัวเดินผ่านหน้าบ้านหรอก แต่เราก็ได้ยินเสียงมัน ถ้าตัวไหนใจดีหน่อยก็อึไว้ให้เรา
ดูต่างหน้า ทำเอาคนแถวนั้นบ่นกันเป็นทิวแถว เพราะต้องขับมอเตอร์ไซต์หลบแอ้โบ้ กันจ้าละหวั่น
สายหน่อยก็ยังมีสายหมอกลอยล่องรอเราให้ตื่นเต้นเล่นๆ หลังจากที่เชียงใหม่
เราจะเห็นหมอกอยู่ไกลๆ แต่ที่บ้านตาพล สายหมอกลอยมากระทบหน้า
ยืนนานๆ ทำให้หัวเปียกและเป็นหวัดได้ง่ายๆ เหมือนกัน แชทเองก็ซื้อผ้าพันคอสีฟ้าเตรียมไว้แล้ว
สำหรับหน้าหนาวที่จะถึงนี้ เพราะเห่อจากการดูการ์ตูนพูห์มากไป ที่ทุกคนมีผ้าพันคอพัน
ตะลุยหิมะกันทุกคน ตอนสายที่ไปทำบุญที่วัด เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลหายายไหว
และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ต้องอธิฐานว่าขอให้ยายไหวมาเกิดกับแม่น้องนะ
เพราะเมื่อชาติที่แล้วยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณกันเลย มาหนนี้ได้ทำบุญแบบแปลกๆ
คือ ทำบุญถวายที่ดินให้วัด คนละตารางวา ดูๆ ไปก็แปลกดี แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แปลกอะไร
แค่เอาเงินใส่ซอง แล้วพระท่านก็อนุโมทนาสาธุให้ และเห็นว่าจะออกใบอนุโมทนาบัตรให้ด้วย
ที่จริงก็ไม่ได้หวังว่าท่านจะทำอะไรให้แต่กลับไปบ้านเกิดทั้งที ไม่รู้จะทำบุญยังไง
คนเวลาน้อยอย่างเราก็ได้แค่ทำบุญด้วยการใส่ซองก็ยังดี ก่อนจะกลับบ้าน
ญาติๆ เอาของมาฝากกันอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เราเอง ไม่ค่อยได้เอาอะไรไปฝากใครเท่าไหร่เลย
แต่แค่เห็นรถหมูตุ้ยจอดอยู่หน้าบ้าน ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมา ก็จะแวะทักทายแล้ว
ถามว่ามาเมื่อไหร่ กลับตอนไหน ที่ต้องถามถึงตอนกลับ เพราะญาติๆ จะได้เอาของมาฝากกัน
ของฝากของคนที่นี่ ถึงจะไม่ใช่ของที่มีค่ามากมายมหาศาล แต่ก็มากไปด้วยน้ำใจ
มะละกอลูกโตๆ มะนาวจากสวน มีน้ำปูด้วย (เพราะคนเชียงใหม่ ชอบน้ำปูของเชียงรายมาก)
ทวดเอาตะกร้าที่สานเองมาฝากหลายใบ แค่เห็นก็จำได้แล้ว เพราะว่ามันอยู่กับเรามาตั้งแต่เด็กๆ
ของแบบนี้ ถึงแม้ว่า ถ้ามาถึงเชียงใหม่แล้วมันจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร แต่แค่มันมาอยู่บ้านเรา
ก็รู้สึกอุ่นใจเหมือนมีญาติผู้ใหญ่มาอยู่ใกล้ๆ แล้ว