Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for เมษายน, 2007

 
          บ่ายวันเสาร์ สาวน้อย NGO แห่ง วูเมน อินซิทิ้ว (เธอบอกเรามาแบบนี้)
        มาขอเข้าห้องน้ำที่สำนักหอสมุด ซึ่งกว่าจะฝ่าด่านลุงสิทธิ์ที่ประตูเข้ามาได้
        ต้องกรอกในใบสถิติ เพื่อแลกบัตรเข้ามาก่อน ผ่านประตูกลเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ยืมคืน
        พี่หนูโทรมาบอกบรรณารักษ์เคาน์เตอร์ข้างๆ ว่า น้องค่ะ ฝรั่งเปิ้นมาขอใช้อินเทอร์เน็ตค่ะ
        แต่เขาไม่มี user name และ password เขาคงใช้ไม่ได้ น้องช่วยมาอธิบายให้เค้าฟังหน่อย

        You are a student? เจ๊บรรณฯ ถาม 

        No No i’m NGO at women institute. สาวน้อยตอบ

        Do you have e-mail eccount cmu staff?

        No I don’ t have enything.

        Oh sorry!! You can’ t use internet or wi-fi net at cmu library. เจ๊บรรณบอกอย่างมาดมั่น 

        Oh No no และ no she รีบบอกเจ๊บรรณในทันใด

        I want to use toilet but use internet!!!

        God!!! เจ๊บรรณทำเป็นคิดในใจ แต่อุทานออกมาว่า ฮานี่บ่าเฮ่ย!!! นึกว่าจะใช้อินเทอร์เน็ต
        เป๋นว่า จะมาขอใช้ Toilet เจ๊บรรณเลยต้องเดินไปส่งสาวน้อยฝรั่ง NGO ถึงหน้าประตูห้องน้ำ 
        เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ถ่วงเวลาเธอ แล้วออกมานั่งขำก๊าก กับพวกเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ 
        รับรองว่า เรื่องนี้จะเป็นข่าวฮอทไปอีกหลายวันเชียว (รู้ไปถึงไหน อับอายกันทั้งหมู่ อิอิ!!)

Read Full Post »

เดินขบวนสงกรานต์


         

          วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็นวันสงกรานต์ (อันนี้ใครไม่รู้คงเชยชมัด)
          จังหวัดเชียงใหม่จะมีการจัดขบวนแห่สงกรานต์ และสรงน้ำพระ ซึ่งเป็นประเพณี
          ที่สืบทอดกันมายาวนานและขบวนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะเป็นขบวนที่ยาวมาก 
          เพราะประกอบไปด้วยตัวแทนจากคณะ สถาบัน สำนัก
          ที่สังกัดในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทั้งหมด เลยต้องจัดขบวนไว้ปิดท้ายทุกปี

          ปีนี้ครอบครัวของเราได้มีโอกาสเข้าร่วมในขบวนแห่นั้น เพราะตั้งแต่ไว้แต่แรกว่า
          จะพาแชทไปเล่นน้ำสงกรานต์ พ่อกับแม่ได้รับแจกเสื้อสีม่วงเพื่อเข้าร่วมพิธีเมื่อหลายวันก่อน
          ฝ่ายหญิงจะได้รับแจกจ้อง(ร่ม)ไว้บังแดด ฝ่ายชายก็จะมีหมวกปีกกว้างให้ใส่ด้วย
          แต่สำหรับน้องแชท เป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นเด็กเล็กสุดของขบวน สำนักหอสมุด
          เลยให้เงินสนับสนุนสำหรับซื้อชุดเด็กพร้อมอุปกรณ์ปืนฉีดน้ำ เพื่อความสนุกสนานระหว่างทาง

          ครอบครัวเราไปถึงที่สำนักหอสมุดตอนบ่ายโมงครึ่ง แล้วนั่งรถตู้โฟล์คของสำนักไปหน้ามอ.
          รวมกันถ่ายรูปที่ศาลาธรรม มีคณะและหน่วยงานอื่นมารวมกันเกือบครบแล้ว
          คณะเกษตรศาสตร์ มาด้วยเสื้อเหลืองอะแหร่ม แถมบอกว่าแม่ชะอมย้ายสังกัดไม่ยอมใส่เสื้อเหลือง
          ร่วมขบวนคณะเกษตร ขืนทำอย่างนั้นจริงๆ แล้วแปรพรรคไปอยู่เกษตร
          รับรองว่าประเมินไม่ผ่านแน่คราวนี้

          สังเกตกว่าปีนี้ เสื้อม่วงจะไม่ค่อยเยอะแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าเมืองสีเหลืองอ๋อยกันซะมากกว่า
          นอกนั้นก็จะเป็นผ้าฝ้ายสีธรรมชาติ ส่วนแม่ยิงที่ร่วมขบวน อย่างของคณะพยาบาลจะเป็นสีแดงดำ
          ดูสวยงามตระการตา คณะสัตวแพทย์ แม่ยิงใส่สีชมพูดำ ดูสวยงามไม่แพ้กัน เรียกได้ว่า
          สาวๆ ไม่มีใครน้อยหน้าใคร ยิ่งสาวไม่แท้คณะวิจิตร ยิ่งกว่ารุ้งเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงซะอีก 
          ขนมชั้นเคลื่อนที่บวกศาลพระภูมิเดินได้เชียวหละ

          ตอนบ่ายสามโมงรถประจำสำนักพาเราตามรถนำขบวนของมหาวิทยาลัยมาถนนเส้นออกนอกเมือง
          แต่รถก็ติดเอาการอยู่ โดยเฉพาะเส้นจะไปสถานีรถไฟ ถ้าใครขับรถหลงไปตอนนั้น
          รับรองกลับตัวไม่ทันแน่ๆ เรียกว่า จะกลับตัวก็ไม่ได้ ให้ไปต่อไปก็ไปไม่ถึง เหมือนเพลงป้าเบิร์ดไม่มีผิด
          แต่บรรยากาศก็ชื่นมื่นดี นั่งอยู่ในรถก็เปิดกระจกให้คนสาดเข้ามา น้องแชทยังเอาปืนฉีดน้ำ
          ฉีดใส่คนข้างนอกเลย พ่อเอกเจอ PRC Gang เล่นน้ำอยู่หน้าบ้านลุงดวง

          เพื่อนๆ แทบจะลากพ่อเอกลงจากรถ นี่ถ้าไม่ติดภาระกิจรับใช้มหาวิทยาลัย
          รับรองพ่อเอกต้องไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ พ่อ อยู่ข้างถนนแน่ๆ กว่าจะไปถึงสถานีรถไฟได้
          ก็นานเอาการ แต่ไปถึงต้องไปรอขบวนข้างหน้าที่เค้าไปก่อนอีก อย่างที่บอกว่า ขบวนของมช.
          จะยาวมาก เค้าเลยให้อยู่ปิดท้ายขบวน รอให้ขบวนของที่อื่นๆ ไปก่อน
          แล้วแต่ละขบวนที่แห่กันไป ก็กว่าจะเคลื่อนย้ายกันได้ ต้องมีทั้งฟ้อน ตึง โนง รำดาบ ตีกลอง

          สโลว โมชั่น กันสุดๆ เล่นเอาคนท้ายขบวนนั่งรอกันเหมื่อยก้น แชทก็เล่นน้ำใส่ฉีดสาวๆ
          ต่างคณะกันให้วุ่น โดยเฉพาะสาวๆ คณะสัตวแพทย์ สาวน้อย สาวใหญ่ สวยกันถ้วนหน้า
          แต่สาวที่ถือป้าย แต่งตัวไม่เรียบร้อย คุณป้า ผอ. ของเราถึงกับทนไม่ได้ ลุกไปแต่งตัวให้ใหม่
          เรียกได้กว่า ป้าแกไปจัดระเบียบใหม่เลยเชียว ตอนที่เล่นน้ำ สาดน้ำ คนกันเองอยู่นั้น
          มีลุงคนหนึ่ง ใส่เสื้อหม้อฮ่อมมา พุงป่องเชียว ลุงๆ ป้าๆ เลยยุให้แชทวิ่งไปฉีดน้ำลุงที่เดินมาคนเดียว

          ปรากฎว่าจริงๆ แล้ว คือลุงอธิการบดีนั่นเอง กำลังเดินทักทายจาวหมู่ และบุคลากรคณะต่าง ๆ
          พร้อมกับอวยพรวันสงกรานต์ ให้ทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า
          (ไม่แน่ใจว่า จะอวยพรว่าให้ได้โบนัสกันเยอะๆ หรือไม่นะ) ขบวนมช. ได้เริ่มเคลื่อนขบวนเกือบสี่โมง
          เป็นเวลาที่ฝนเริ่มตกลงมาแบบเปาะแปะๆ อากาศก็เลยมืดครึ้ม ร่มที่เตรียมมาให้สาวๆ
          เลยได้ทั้งบังแดดบังฝน ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว กว่าขบวนจะเคลื่อนไปถึงสะพานแถวจวนผู้ว่า

          ก็ปาเข้าไปเกือบหกโมง ทั้งๆ ที่ความจริง ระยะทางก็ไม่ไกลมากนัก แต่เมื่อข้างหน้าช้า
          ข้างหลังจะไปก่อนก็ดูจะไม่งาม ปืนฉีดน้ำของแชทต้องเติมน้ำบ่อย แม่เลยต้องวิ่งไปซื้อ
          ปืนอันใหญ่กว่าเดิมมาให้ น้องแชทจะโดนสาดน้ำเยอะกว่าคนอื่นไม่ขบวน
          เพราะผู้ใหญ่จ้องจะแกล้งเด็กๆ กัน แต่เด็กๆ ก็สนุกสนานมาก ยิ่งถ้าเจอพวกเดียวกัน
          ก็ยิ่งถล่มกันยกใหญ่ หนักไปทางส่งเสียงข่มขวัญกันมากกว่า จะฉีดน้ำให้โดนกัน

          แชทเจอสาวน่ารักลูกครึ่งด้วย พยายามจะไปรดน้ำเค้า แต่ก็อายอยู่
          ป้าเล็กเลยไปรดน้ำเป็นเพื่อน ปรากฎว่าเอาเข้าจริงไม่กล้ารดเค้า เพราะมัวอาย
          เลยเอาน้ำรดเท้าเค้าแทน ทุกคนแถวนั้นโห่กันใหญ่ ป้าเล็กบอกว่า ไอ้ขี้หมา ไม่ได้เรื่องเลย
          ขบวนผ่านมาถึงแถวท่าแพ จะโดนฝรั่งสาดน้ำกันเยอะมากขึ้น จนเดินผ่านประตูท่าแพ
          แชทก็ยังบอกว่าไหวอยู่ ข้างหน้าของขบวนเราจะเป็นนักศึกษาและนักวิจัยต่างชาติของคณะสังคม

          มีนักวิจัยฝรั่งปิ๊งน้องๆ สาวๆ ของสำนักหอสมุดอยู่ ส่วนหนุ่มๆ สำนัก ก็ปิ๊งสาวเกาหลี ญี่ปุ่น
          พยายามจะเป็นบอดี้การ์ดให้เธอสุดฤทธิ์ เพราะเธอใส่เสื้อมาซะบางเชียว ตกเป็นเป้าสายตามาก
          ส่วนน้องๆ เจ้าหน้าที่ที่เป็นแต๋ว ถ้าเจอฝรั่งหล่อที่ไหน หล่อนก็จะถล่าไปสาดไม่มียั้ง
          กลุ่มขบวนข้างหน้าของเรา ซึ่งมีทั้งฝรั่งหล่อ และหนุ่มตี๋ญี่ปุ่น อินเทรน ปรากฎว่า
          จะได้รับความสนใจจากสาวๆ ทั้งสาวแท้ สาวเทียม ที่มารอสรงน้ำพระ

          วิ่งกันมารดน้ำถึงในขบวนเลยทีเดียว สาวไทยบางคนใจไม่กล้า ก็ส่งตัวแทนมารดให้
          แถมบอกว่า คนๆ นั้นฝากมาสาดนะ หนุ่มฝรั่ง หนุ่มตี๋ในขบวน พอเห็นสาวไทยหน้าตาดี
          ก็รี่เข้าไปหาเชียว ขบวนด้านหลังของเรา ประกอบไปด้วยสาว Acc ba เป็นที่ร่ำลืออยู่แล้วว่า
          สาวๆ บริหารหนะสวย ทำให้ขบวนของสำนักหอสมุด ซึ่งมีแต่ลุงๆ ป้าๆ และสาวๆ อยู่ไม่กี่คน
          ถึงกับโดนข่มรัศมีดับไปเลยเชียว พอมาถึงถนนคนเดิน ซึ่งเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว

          คนเริ่มตั้งของขายกันแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติจะมีแค่เสาร์อาทิตย์ แต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์
          คงมีขายของกันตลอด คนเริ่มเล่นกันเยอะขึ้น ถนนก็แคบลงด้วย พวกเราเริ่มจะหนาวมากขึ้น
          เพราะเดินมาหลายชั่วโมง แถมตัวเปียกกันไปหมด ลูกชิ้น ซาลาเปา โรตี เลยถูกเหมามาเลี้ยง
          คนในขบวนกันทุกขบวน เรียกได้ว่าไม่รักษาภาพลักษณ์กันแล้ว เพราะคนมันหิว
          แล้วคนแถวนั้นเริ่มเล่นน้ำใส่น้ำแข็งกัน ยิ่งหนาวกว่าเดิมหลายเท่า

          เวลาโดนสาดที เย็นไปถึงขั้วหัวใจ ยิ่งน้องแชทนะ กริ๊ดลั่น แต๋วแตกกันเลยทีเดียว
          พูดถึงเรื่องแต๋วแตก หนุ่มหล่อหลายคนของคณะเทคนิคการแพทย์ ปกติก็เก๊กแมนกันสุดฤทธิ์
          แต่คราวนี้คงเจอทั้งน้ำทั้งเหล้าเข้าไป เลยเก็บอาการไม่ค่อยจะอยู่ ฟ้อนกันแย้วๆ
          เรียกได้ว่า ไม่เข้ากับหน้าตาอันหล่อเหลา และทำเอาประชาชีข้างทางถึงกับตะลึง
          ยิ่งสาวๆ ที่เตรียมกะจะสาดน้ำใส่ขบวน คงถึงกับอึ้ง!! กับอาการของหนุ่มหล่อใจสาวเหล่านี้

          กว่าเราจะมาถึงหน้าวัดพระสิงห์วรมหาวิหารก็ทุ่มหนึ่งแล้ว เริ่มมืดแล้ว
          แต่รถดันจอดอยู่ที่รพ. สวนดอก ต้องเดินต่ออีกเป็นกิโลเพื่อไปขึ้นรถ เดินผ่านคูเมือง
          ก็เจอสาดน้ำอีก สงสารน้องแชทเหมือนกันที่ต้องเดินอีก แต่ก็ถือว่าแชทสอบผ่านและอดทนมาก
          แม่กับพ่อและคนอื่นๆ แทบเดินกันไม่ไหว แต่แชทยังสนุกและยังไม่รู้สึกเหนื่อย
          แต่ก็ถามตลอดทางว่า แม่อีกไกลไหม จะถึงหรือยัง??

          กว่าจะกลับถึงบ้าน แชทก็นอนสลบอยู่ในรถแล้ว แม่เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนให้ในรถ
          แชทเลยนอนหลับกลับบ้านอย่างสบาย และก่อนหลับไป แชทบอกว่า ปีหน้ามาอีกนะแม่
          พรุ่งนี้จะมีแบบนี้อีกไหม ถือว่าเป็นทริปที่แสนประทับใจทั้งพ่อแม่ลูก
          และคนอื่นๆ ที่ได้พบเห็น และรดน้ำแชท ก็ได้สนุกสนานกันทุกๆ คน
          —สะ หวัด ดี ปี๋ ใหม่ เมือง เจ้า—

Read Full Post »

          นานแล้วที่ไม่ได้ดูทีมแมนยูเตะบอล เกือบห้าปีเห็นจะได้ ทั้งๆ ที่ติดตาม
          มาตั้งแต่เป็นสาวน้อย ตอนเป็นเด็กอยากให้พ่อแม่มีตังค์เยอะๆ จัง 
          ฉันกับน้องชายจะได้ดูบอลแมนยูเตะทุกคู่ทาง UBC (ตอนนี้เป็น True แล้ว)
          จากที่หลงรักลีลาจอมเลื้อยของไรอัน กิ๊กส์ แบบไม่ลืมหูลืมตา

          ผ่านไปสิบห้าสิบหกปี ทีมแมนยูในฝันของฉันก็เหลือแค่ ไรอัน กิ๊กส์
          กับโซลซาร์เท่านั้นที่ฉันรู้จัก นักเตะแสนเก่งอย่างโรนัลโด้ เวน รูนี่
          และนักเตะคนอื่นๆ ที่ฉันไม่รู้จักพาเหรดกันยิ่งประตูเป็นว่าเล่น 
          (นัดที่ชนะโรม่า 7 – 1) ก่อนหน้านี้น้องชายบอกว่า ถ้าเธอดูแมนยูตอนนี้ 

          เธอจะไม่รู้จักใครหรอกนอกจากไรอัน กิ๊กส์ ซึ่งก็คงจะจริง รุ่นเราเนี่ย
          อินกับแมนยู สมัยมี เอริค คองโตนา มาร์ค ฮิวก์ แล้ว มาถึงตอนนี้
          นอกจากโลโก้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง กับตาลุงเฟอร์กี้ที่ยังอยู่ยงคงกระพัน
          ก็จะเหลือนักเตะไม่กี่คน ที่จะพอรู้จักมักจี่และคุ้นตาบ้าง
  
          ไม่เหมือนน้องชายที่ยังคงติดตามมาตลอด จำได้ว่า ตั้งแต่เปลี่ยนผู้ถือหุ้น
          เป็นมหาเศรษฐี ฉันก็เลิกลุ้นแมนยูตั้งแต่นั้นมา จะว่าไปมันแค่ได้ลุ้นแชมป์
          แต่ไม่ได้แชมป์ มันก็ลุ้นไม่ขึ้นเหมือนกัน พออายุเลยเบญจเพสแล้วหัวจิตหัวใจ

          ที่คิดจะเชียร์จนจบเก้าสิบนาทีมันไม่ค่อยไหว บางนัดกดดันมาก
          พอจบเกมแล้วอาจจะทำให้นอนไม่หลับแบบวันนี้ก็เป็นได้
          (ทั้งๆ ที่วันนี้ชนะตั้ง 7 – 1 เชียวนะ ถือว่าเป็นบุญตาและคุ้มค่าที่ตื่นมาดู)
          แต่ฉันยังคงแอบเชียร์อยู่อย่างสม่ำเสมอ แถมรู้สึกเป็นมิตรกับคนที่ชอบแมนยูอีก

          ลุงส้มคนขายกาแฟ แกไม่ยอมบอกเราซักทีว่าเชียร์แมนยู หรือลิเวอร์พูล 
          เพราะแกบอกว่า ถ้าเชียร์ทีมตรงข้ามกัน เราจะเลิกซื้อกาแฟแก
          แกเคยบอกลูกค้าไป แล้วลูกค้าเกิดเหม็นขี้หน้าแกขึ้นมาเฉยๆ
          พอทีมที่แกเชียร์แพ้ขึ้นมาวันใด จะโดยเย้ยถึงถิ่น

          เช่นเดียวกับนายคิง แห่งห้องการศึกษา คณะเกษตรฯ ที่เชียร์ลิเวอร์พูล
          อยู่โดดเดียวและมั่นคง ทั้งๆ ที่คนทั้งตึก เชียร์แมนยูกันหมด
          (อาจจะมีคนแอบเชียร์ลิเวอร์พูลอยู่ แต่ไม่ออกนอกหน้า)
          วันใดหงส์แดงแพ้ นายคิงแทบไม่อยากมาทำงาน ไม่ใช่ว่าหมดกำลังใจมาทำงาน

          เพราะบอลแพ้ แต่ทนไม่ไหวกับเสียงเยาะเย้ยถากถาง แม้จะดูไม่จริงจัง
          แต่คนมันอินก็เจ็บจริงได้เหมือนกัน คงเหมือนเฮียสรยุทธ ณ ช่องสาม 
          เวลาลิเวอร์พูลแพ้ แกคงไม่อยากมาอ่านข่าวเหมือนกัน เพราะเจอ ms เย้ยถึงหน้าจอทีวี
          แถมในตึกมาลีนนท์ อาจจะโดนเย้ยตั้งแต่ยามลามมาจนถึงห้องส่งได้

          (ทำยังกะไปเห็นตอนเค้ามาทำงาน) เฮียสาธิต กรีกุล ประกาศโกนหนวดทั้งปี
          ถ้าแมนยูได้สามถ้วย (หวังว่าจะไม่ใช่ถ้วยน้ำจิ้ม หมูจุ่ม) จ๊นันทขว้างบอกว่า
          จะโกนหัวทั้งปี ถ้าแมนยูได้ trible champs!!! เดี๋ยวเจ๊ชะอม
          จะประกาศลดความอ้วนบ้างนะ จะได้อินเทรนกับเค้าบ้าง

          เห็นแฟนพันธุ์แท้แมนยู ในรายการของเสี่ยตาปัญญา เล่นเอาแฟนพันธุ์ทางอย่างเรา
          อึ้งไปหลายตลบ คนที่ชอบและจริงจังกับแมนยู เรียกได้ว่ารักยิ่งกว่าลูกเมีย
          มีมากมายจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา เมื่อก่อนเราชอบ เราดู เราเชียร์
          เราสะสม เราซื้อ แต่ปัจจุบันมันมีอะไรสำคัญกว่าผลิตภัณฑ์สีแดงอีกเยอะ

          แล้วผู้ถือหุ้นก็รวยมหาศาลอยู่แล้ว เราเลยเลิกซื้อของเหล่านั้นไป
          แต่ยังเห็นน้องชายเป็นโรคนี้อยู่ เก็บเงินฝากเพื่อนที่กรุงเทพซื้อซีดี
          ซื้อเสื้อ ที่จริงใส่ของปลอมก็น่าจะได้อยู่ เพราะยังไงก็ไม่มีใครรู้
          แต่แฟนแมนยูพันธุ์แท้อาจจะดูออก แต่ก็ไม่ได้ใส่ไปอวดใครเท่าไหร่

          เห็นบอกว่า เวลาไปดูที่ร้านเหล้าก็เก็บกดน่าดูชม เพราะร้านที่ไปนั่งประจำ
          ตั้งแต่เด็กเสิร์ฟยันเจ้าของร้าน เป็นแฟนลิเวอร์พูลกันทั้งบาง 
          ที่เขียนมานี่ถือว่ายาวเอาการ ตอนแรกกะว่าจะรำลึกอดีต
          เผื่อจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่แอบหลงรักขนหน้าแข้งของไรอัน กิ๊กส์

          แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นป้าที่มาบ่นๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แบบนอนไม่หลับมากกว่า
          ขอจบด้วยคำคมสำหรับวันนี้ "ปีศาจแดงจงเจริญ!!!"

Read Full Post »


          แม่อ่อนบอกว่า…ฉันใช้เวลาลดน้ำหนักเท่ากับระยะเวลาการเรียนปริญญาตรี
          (แถมไม่จบสี่ปีเผื่อมาถึงซัมเมอร์ด้วย) ต้น (พระคุ้มครอง) บอกเจ๊ชะอมว่า…
          เอวต้นเหลือสามสิบเอ็ดครึ่งแล้วนะเจ๊ จาก 38 เชียวนะ ต้นยังทำได้เลย
          (ต้นทำได้ แต่เจ๊ชะอมทำไม่ได้ เอวเจ๊ก็จะสามสิบแล้วน้อง)

          น้องมด Lab girl บอกว่า พี่ต้องทำตัวให้อยู่ในช่วงรันทดของชีวิตสิ แล้วพี่จะกินอะไรไม่ลง
          อยากจะถามน้องมดเหมือนกันว่า พี่จะเอาเวลาและช่วงไหนไปใช้ชีวิตรันทดกับเขา
          แม้เจ๊บรรณฯ จะรันทดเพียงใด ก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองอดอยากเลยน้องสาว

          เฮียมิ้วบอกว่า…น้องอ้วนมากกกกกกกกกกกกกกนะ ไม่คิดจะลดบ้างเหรอ
          คิดอยู่ตลอดเวลาเลยนะเฮีย แต่มันทำได้ แถมย้อนกลับไปอีกว่า…
          ถ้าทำได้หนะทำไปนานแล้ว (ไม่ต้องรอเฮียมาซ้ำเติมกันหรอกน่า อิอิ)

          นัตตี้เพื่อนรักก็ผอมทันตาเห็น เพราะหล่อนดันลงเรียนคอร์ส IT แทนที่จะเรียน รปส. ที่จุฬา
          น่าอิจฉาหล่อนจริงๆ จะอ้วนก็อ้วนได้ทันตา พอผอมก็สั่งได้ราวกะแค่กระพริบตา
          "เช้ากินข้าว กลางวันกินเส้น เย็นกินผักผลไม้" มีคนให้ท่องไว้แบบนี้ 
          ท่องอย่างเดียวคงไม่บังเกิดผลให้ผอมได้ นอกจากว่าจะทำตามที่ท่องด้วย

          อีก 1 เดือนจะต้องไปรายงานความก้าวหน้าให้เฮียมิ้วรับทราบ
          คราวนี้จะลองเอาจริงเอาจังดูบ้าง เดี๋ยวจะโดนย้อนถามอีกครา
          ว่าอ้วนแบบนี้ไม่อายเค้าบ้างเหรอ!!??

        

Read Full Post »


          กลับบ้านที่เชียงราย เป็นธรรมเนียมว่าต้องมีของไปฝากญาติๆ (ซึ่งน้อยนิดมาก)
          ถ้าเทียบกับที่ญาติๆ มิตรๆ ขนมากฝากพวกเรากลับเชียงใหม่ ดูจะเยอะกว่าหลายเท่า
          ครั้งก่อนที่ไปก็ได้กล้วยน้ำว้าเครือใหญ่กลับมาแจกคนสันทราย
          มีทั้งหน่อไม้ ฟักทอง และผักสารพัด มาคราวนี้ยังได้ของฝากเหมือนเดิม

          ตาโอ้เอาต้นกล้าดอกกระดังงาและต้นกล้าของมะกรูดมาฝาก
          ยายสวยบอกว่า จะเอาลูกขนุนมาฝาก แต่ที่บ้านสันทรายมีเยอะแล้วเลยเปลี่ยนใจ
          เอาดอกงิ้วแห้งฝากแทน เพื่อเอาไปใส่น้ำเงี้ยวของโปรด

          ตาหนานไปอินเดียมาเลยเอาพระมาฝากหลายองค์ ไหว้กันปะหลกๆ

          ไม่รู้จะเก็บที่ไหนในรถ ตาพลกลัวน้อยหน้า เลยเอาพระองค์เล็กฝากน้องแชทบ้าง
          ให้เอากรอบห้อยคอไว้ แม่เดือน แม่ของเอ วันเพ็ญ เพื่อนสมัยเด็ก
          ไปสวนกลับมา หอบข้าวสาลีมาเต็มตระกร้า แต่เอโทรมาพอดี
          บอกว่าไม่ต้องเอาข้าวสาลีฝากเพราะน้องมันมัก ให้เอามะเขือหรือผักอื่นๆ ฝากแทน

          ยัยวันเพ็ญยังคงรู้ทันเราเช่นเดิม ว่าเราไม่ชอบกินผัก
          มีดอกคำฝอยจากน้าแอร์ กินได้อีกเป็นชาติ มีข้าวสารอีกสองกระสอบ
          ฝากบ้านสันทรายและลำพูน อีกกันอิ่มไปอีกนานเลย

         

Read Full Post »

ไปตลาดตอนตีสาม


          ไม่ได้ตื่นไปตลาดตอนเช้าแบบเช้ามากๆ มาตั้งแต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
           ตอนตีสามของวันนี้ ขอแม่ไปซื้อผักที่ตลาดด้วย พ่อขับรถไปส่งพร้อมเปิดข่าวสถานีอสมท.
           ตีสามก็มีข่าวให้ฟังแล้ว เพิ่งรู้เหมือนกันนะเนี่ย (มีเพลงเก่าน้ำตาฟ้าของสามโทนด้วย)
           ที่กทม. ฝนตกเลยมีคนขอเพลงน้ำตาฟ้ามา แต่ที่เชียงรายอากาศยังเย็นๆ อยู่เลย
           แหงนหน้ามองฟ้า อยากดูดาวแต่เห็นแค่ดาวเดียวใกล้ดวงจันทร์ที่มีครึ่งดวง

           ขับรถเกือบถึงตัวเมืองแม่จัน เพิ่งเจอรถสวนทางสองสามคัน ซึ่งเป็นรถบรรทุกผักเหมือนกัน
           เวลาตื่นเช้ามาทำงานที่บ้าน พยายามนึกว่าตื่นมาเป็นเพื่อนแม่ไปตลาดตอนตีสาม
           มาวันนี้ได้ตื่นไปตลาดกับแม่จริงๆ แล้ว ไม่ได้มาเกือบสิบปี แม่ค้าทักลูกแม่อ่อนเป็นภาษายอง
           ทำเอาปรับสำเนียงแทบไม่ทัน ถ้าเผลอพูดสำเนียงเจียงใหม่กลับไป แม่ค้าคงขายแคนตาลูป
           แพงขึ้นไปเป็นสองเท่าแน่ๆ เหมาแคนตาลูปไปฝากคนเชียงใหม่สิบกว่าโล
           คราวนี้ไม่ซื้อสัปรดแล้ว เพราะซื้อไปบ่อย คนรับคงเบื่อๆ ไปบ้างเหมือนกัน

           รถขนผักเค้าขนมาจากเชียงใหม่ และในตัวเมืองเชียงราย สาเหตุของผักแพง
           เพราะว่าเขาบอกว่าน้ำมันมันแพง แต่ละคนจะมีใบเสร็จเป็นกล่องๆ เลย
           มีชื่อแม่ค้าติดข้างหน้า ของแม่อ่อนก็มีกับเค้าเหมือนกัน แม่ค้าบางคนคิดว่าแม่อ่อน
           จะหาทายาทมาซื้อผักแทน เพราะว่าให้ลูกมาซื้อผักด้วยเพื่อดูลาดเลา
           พอบอกว่า แค่มาดูเฉยๆ ย้อนความทรงจำวัยเด็ก แม่ค้าขายส่งเลยถามว่า
           วัยเด็กเธอไปอยู่ไหนมา ไม่เจอตั้งเมิน(นาน) ภาษาแม่ค้าก็แปลกๆ เรียกมะเขือเทศว่า "เจ"
           เขียนใบเสร็จว่า "บล๊อค" คือ "บล๊อคโคลี่" มีอะไรที่สั้นๆ แต่รู้กันเฉพาะแม่ค้า

          วัยรุ่นกล้ามโตใส่แต่เสื้อกล้ามเพื่อโชว์รอยสัก ขนผักไปส่งให้ที่รถ
          เราต้องทำการทดสอบซะหน่อยว่าเค้าสัญชาติไหน ด้วยการทักทายถามนู่นถามนี่
          วัยรุ่นตอบมาด้วยภาษากลางแบบไม่ชัด ปรากฏว่า หน้าตาตี่ๆ กล้ามโตๆ แบบนี้
          สัญชาติอาจจะเป็นไทยอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเผ่าอี้ก้อ หรือเย้ายังไม่แน่ใจ
          ถ้าเป็นสมัยเป็นสาวน้อย เข้าสเป็คฉันเลยนะนี่ รูปร่างนักมวยหน้าตี๋ ตาตี่ กล้ามโต

          ขากลับผ่านหน้าบ้าน "โอ๋คุง" เหลียวมองคอแทบเคล็ด คิดในใจว่า
          ไม่ได้เห็นหน้าเห็นหลังคาบ้านก็ยังดี กลับมาถึงบ้านตีสี่มานอนต่อกันทั้งบ้าน
          แม่สามีถามแม่อ่อนว่า น้องตื่นไปตลาดทำไมแต่เช้า
          แม่อ่อนตอบแบบรู้ใจว่า "ไปหาความทรงจำในวัยเด็กก้า"
 

Read Full Post »


          กลับมาเชียงรายช่วงวันหยุดก่อนสงกรานต์ เพราะถ้ามาตอนสงกรานต์กลัวรถเยอะคนเยอะ
          ช่วงนี้ถนนโล่งดี แต่นอกจากแม่สายแล้วก็ไม่มีที่ไหนจะให้ไปเหมือนกัน ไปเดินๆ ดูแล้วก็กลับ
          แวะพักทักทายลิงที่ถ้ำปลา นอกนั้นก็อยู่บ้าน ไปตลาด ซื้อเครปกินวันละสามเวลา ปั่นจักรยานไปมา
          ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องต่อเนท (เอ๊ะ!!!) แล้วต่อทำไมนี่ ขาดไม่ได้อีกตามเคย คนเรา

          ตอนไปแม่สาย แม่ชี้ให้ดูโรงเรียนนกกระจอก โรงเรียนอนุบาลพระราชทาน ในสถานีอนามัยบ้านป่าห้า
          ติดกับโรงงงานของโครงการหลวง คิดถึงตัวเองตอนวัยอนุบาล รร.อนุบาลแถวบ้านยังไม่มี
          มีแต่เค้ารับจ้างเลี้ยง พ่อแม่คงกลัวไม่ลูกฉลาด เลยต้องถ่อไปเรียนไกลบ้านประมาณห้าหกกิโล
          วันนี้หันกลับไปมอง มันยังอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม่บอกว่า ยังได้ยินเสียงกระจองอแง 
          เซ็งแซ่ของเด็กอนุบาลแบบนอกกระจอกเข้ารังเหมือนเดิม ได้บรรยากาศเดิมๆ ไปอีกแบบ 

          ที่ตลาดใกล้กับถนนใหญ่ไปเชียงแสน มีฝรั่งมาแวะถ่ายรูปกับแม่ค้าและชาวตลาดเป็นว่าเล่น 
          แม่ค้าได้ฝึกภาษาอังกฤษกับอู้กำเมืองปนๆ กัน ขนาดไกค์ที่พามา ยังเกาหัวแกรกๆ
          แปลเป็นอังกฤษไม่ได้ แม่บอกว่าขายของได้น้อยลง เมื่อก่อนได้วันละสามสี่พัน กำไรครึ่งต่อครึ่ง
          ตอนนี้เหลือพันกว่า แม้กำไรจะครึ่งต่อครึ่งเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยดี ของแพงขึ้น
          เพราะค่าขนส่งแพงขึ้น แต่ชาวสวนขายผักได้ราคาเท่าเดิม และคงยังจนเหมือนเดิม 
          (มะนาวลูกละเจ็ดบาท สามลูกยี่สิบ
สูงเป็นประวัติการมากกว่าลูกละสามบาทห้าบาทของปีที่แล้วซะอีก)

          เด็กบ้านนอกเริ่มเล่นน้ำ สาดน้ำกันแล้ว แต่เราก็ยังไม่เปียก เพราะคนตัวกลมๆ
          เด็กบอกว่าเปลืองน้ำ ลูกหลานใครบ้างไม่รู้ คุ้นหน้ากันทั้งนั้น แต่โตๆ แล้วจำกันไม่ค่อยได้
          เจอเพื่อนเก่า มีแต่ทักว่าอ้วน เอ้อ!! ทักใหม่ สวยกว่าเดิมนะ แต่ทำไมไม่ผอมซักที
          (ไม่ได้แตกต่างกับคำว่าอ้วนเลยนี่) 

          เวลาสองวัน ที่ไม่รู้จะทำอะไร ลืมพกหนังสือมาอ่านด้วย เหมือนจะอยากให้เดินช้า
          เพื่อที่จะให้ได้อยู่บ้านนานๆ แต่อีกใจหนึ่งก็เหมือนอยากให้เดินเร็ว เพราะมีงานรออยู่
          ยังเอาแน่กับชีวิตไม่ได้ รู้แต่ว่าอยู่บ้านนอกจิตใจสงบดี ตอนเช้ามีเสียงไก่ขันด้วย
          ตอนเช้าๆ ยังมีหมอกและน้ำค้างให้ได้สัมผัสบ้าง แม้กลางวันแดดจะแรงเอาการ
          ไม่รู้ว่าเวลาเดินช้าหรือเดินเร็ว แต่ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าบันทึกไว้ในความทรงจำ

Read Full Post »


          ถึง…"คุณ"…บางคน

          คุณคงลืมไปว่า คุณกลับมาอยู่เมืองไทยได้หลายปีดีดักแล้ว
          แต่คุณยังกลัวอากาศหนาวในประเทศที่แสนร้อนเช่นประเทศไทย
          คุณกลัวความหนาว ทั้งๆ ที่คุณก็ออกจะอุดมไปด้วยไขมัน
          เสื้อยืดสีขาว 1 ตัว เสื้อเชิ้ต 1 ตัว สเว็ทเตอร์ 1 ตัว และสูท 1 ตัว

          อะโห!!! คุณชายตาเม็ดก๋วยจิ๊ หลังจากที่อิฉันลุ้นว่าคุณจะใส่เชิ้ตสีฟ้ามาหลายวัน
          จนลุ้นไม่ขึ้น แถมยังมาบอกว่า ใส่เสื้อเหลืองชุดไทยพระราชทานไปเดินห้างมาแล้ว
          วันนี้จะใส่เสื้อสี่ตัวไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางอีก
          โอ้เน๊อะ เราว่าคุณเป็นตัวของตัวเองมาก (ในบางเรื่อง)
          แต่ไม่นึกว่า จะลามมาถึงเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัวด้วยนะ คุณชายอาร์มานี่

         

Read Full Post »


         

         "ดูเธอเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องไร้สาระมาก"
         ใครบางคนทักฉันแบบนี้ ซึ่งไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับตัวเองเลย
         เหมือนกับที่เจ๊มุกหอมบอกไว้ เจ๊แกก็เป็นคนเอาจริงเอาจังกับเรื่องไร้สาระมากเหมือนกัน
         จนต้องมาเป็นนักเขียนในมติชนวันอาทิตย์ให้คนไร้สาระอย่างฉันอ่านไง

         มีคนทักว่าเขียน blog ได้ดีนะ อ่านแล้วสนุกดี (ยกหางพอกดินของตัวเอง)
         น่าจะเขียนบทความให้สำนักหอสมุดบ่อยๆ นะ (ใช้งานอีกละ)
         การเขียนบทความที่ต้องใช้สมอง กับการเขียน blog ที่ใช้แค่หัวใจกับความไร้สาระ
         อันไหนเขียนง่ายเขียนยากกว่ากัน คิดว่าเด็กอนุบาล 1 อย่างแชทก็ประเมินได้

         จึงไม่อาจหาญรับปากว่าจะเขียนบทความให้ป้าๆ น้าๆ ได้ทุกเดือนๆ
         แค่เขียนปีละเรื่อง ก็ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรแล้ว (ถ้าหญิงป้าไม่บังคับมา)
         จริงๆ แล้ว ไม่มีสมองและไม่ใช่มืออาชีพขนาดจะเป็นนักเขียนกับเขาได้
         เพราะทุกวันนี้แค่เอาเวลาไปตามอ่านเว็บบอร์ดและเนื้อหาเกี่ยวกับคุณปลื้ม
         เกี่ยวกับผู้กองมานะ(พี่มอส) ก็หมดเวลาที่จะทำอย่างอื่นแล้วในแต่ละวัน

         เห็นไหมว่ามีสาระโครตๆ เลย เรื่องวิจัยเก็บไว้ก่อน ปิดสงกรานต์หลายวันคงปั่นทัน
         บทคัดย่อเล่มเดิมก็ยังไม่เสร็จ พยายามจะนั่งรถไฟฟ้าคันกะติ๊ดไปหา ดร.นพพร
         เผื่อลุงแกจะรีบเขียนบทคัดย่อภาษาอังกฤษให้ ที่จริงน่าจะพึ่งลุงเล็ก
         ให้ช่วยเขียนให้ เผื่อแกจะไปไว้วานคุณน้าวรางฯ เมียแกให้ช่วยอีกที
         แต่หลวมตัวไปขอลุงนพแล้ว แถมเขียนในกิตติกรรมประกาศไว้เรียบร้อย
         คราวหน้าลุงเล็กเตรียมตัวไว้นะ เรื่องต่อไปจะพึ่งลุง (แต่ไม่แบ่งเงิน)

         เวลาไปจะประชุมสำนักฯ ที แทนที่จะบึ่งมอเตอร์ไซต์หรือรถยนต์ไป
         เราก็เอ้อระเหยด้วยการนั่งรถไฟฟ้าปนไปกับน้องๆ นักศึกษา
         ให้พวกเด็กๆ ทำสายตาประนามเล่นๆ ว่าไม่จ่ายเงินค่าเทอมแล้วยังมาแย่งเค้านั่ง
         ช้าๆ และไปถึงที่หมายเหมือนกัน แถมยังไปถึงตรงเวลาอยู่ และได้ดูดอกไม้ข้างทางด้วย

         งานการก็บอกไปว่า ทำเสร็จแน่ๆ แต่ขอส่งในวินาทีสุดท้ายนะ
         ชีวิตมันดูท้าทายดี (ใครไม่เคยทำก็ลองทำดู) ส่วนใครที่ทำบ่อยแล้ว
         ควรจะเลิกทำได้แล้ว (เดี๋ยวเสียนิสัยและไม่มีใครเชื่อถือ)

         คาดว่าเร็วๆ นี้ จะเริ่มหาสาระใส่ตัวบ้าง (หรือบางทีก็คงมีคนหามาให้เอง)
         ถึงตอนนั้น คนไม่มีสาระอย่างฉัน จะทำให้ทุกคนได้เห็นว่า
         ไม่ใช่แค่มีตัวกลมๆ และรอบเอวหนาๆ ไว้ให้คนค่อนแคะอย่างเดียว : P

         ปล. ภาพประกอบอาจจะดูไม่เกี่ยวกัน แต่ตอนนี้ฉันเป็นโรค "ปลื้ม" อยู่
         ไม่เชื่อไปดูจากทรงผมน้องแชทได้ ทรงเดียวกับคุณปลื้มแกเลย อิอิ
         บอกแล้วไง ฉันเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องไร้สาระมาก

Read Full Post »