มาเกือบห้าหกปีแล้ว ตั้งแต่ฉันรู้ว่าตัวเองท้องนั่นแหละ ไม่ได้มีข้อห้ามข้อไหนบอกว่า
ห้ามคนท้องเข้าโรงหนัง แต่ฉันปฏิบัติของฉันเอง อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยชอบดูหนัง
ในโรงหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ดูจากดีวีดี หรือไม่ก็โหลดมาดูซะมากว่า
สมัยเรียนมหาลัย มุขที่หนุ่มๆ จะจีบสาว หรือรุ่นพี่จะใช้จีบรุ่นน้อง คือการชวนไปดูหนัง
มุขนี้ก็มาใช้กับฉันไม่ได้ คนที่ฉันปิ๊ง เค้าก็ไม่เคยมาชวนฉันไปดูหนังซักที
ฉันเองก็ไม่กล้าชวนเค้าหรอก เขาชวนฉันไปแต่ห้องสมุด ห้องสมุด และห้องสมุด
อยากจะบอกเขาเหมือนกันว่า เวลาฉันเรียนฉันก็ต้องเรียนที่ชั้นสองของห้องสมุด
ตอนเวลาวันว่างหรือวันหยุด ยังจะมาชวนฉันไปห้องสมุดอีก แต่ฉันก็ไม่เคยบอกเค้าซักที
รุ่นพี่ก็มีมาชวนไปดูหนังบ้าง มันอาจจะเป็นมุขคลาสสิคของหนุ่มสาวหรืออะไรทำนองนั้น
เวลาจีบกันใหม่ๆ ก็ชวนไปดูหนังกินข้าว แต่มันก็ใช้ไม่ได้กับรสนิยมของฉันอีกตามเคย
จำได้ว่าตอนเรียนมหาลัย ไปดูหนังในโรงหนังอยู่ไม่กี่เรื่อง และเรื่องที่จำได้คือไททานิค
สมัยนั้นใครไม่ได้ดูไททานิค คงเชยเอามากๆ เลยทีเดียว แล้วเพลง My heart will go on
ก็ดังมากเช่นเดียวกัน ไปไหนๆ ก็ได้ยินแต่เพลงนี้ วกกลับมาถึงเรื่องหนังที่ฉันจะเขียนถึง
เพราะฉันไปอ่านเจอ 10 อันดับหนังในดวงใจของ “คุณปลื้ม” ซึ่งนิตยสาร Cool สัมภาษณ์ไว้
จริงๆ แล้ว เล่มนี้วางแผงมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้อุดหนุนซักที วันนี้เลยเสียเงิน 90 บาท ซื้อมา
เปิดหาเพื่อจะลุ้นว่า มีเรื่องไหนที่ตรงกับใจฉันหรือเปล่า ปรากฎว่าแห้ว!! สถานเดียว
สิบเรื่อง มีอยู่เรื่องสองเรื่องที่ฉันเคยดูและรู้จัก หุหุ ดูรสนิยมเอาเหอะ จะได้เห็นกันชัดๆ
ว่าตี๋ไฮโซกับเจ๊บรรณฯ โลโซหนะ วิถีชีวิตและรสนิยมแตกต่างกันยังกะฟ้ากับเหว
แถมคุณปลื้มนะ ชอบดูหนังในโรงหนัง และฉันเนี่ย ชอบดูดีวีดีอยู่ที่บ้านมากกว่า
เข้าเรื่องซะที อารัมภบทมายาวนานกว่าเรื่องที่จะเขียนอีก อันดับหนังในดวงใจของฉัน
ขอไม่เรียงแบบหนึ่งสองสามนะ เพราะไม่ได้จัดอันดับไว้ในใจ แต่เป็นหนังที่ประทับใจมากกว่า
เรื่องที่หนึ่งคือ “น้ำพุ” หนังที่กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิท “น้ำพุ” เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิต
ที่ฉันได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ไปดูได้ในโรงหนัง จำได้ว่าฉันน่าจะอยู่แค่ชั้นประถมต้นๆ
คุณครูที่โรงเรียนต้องพาเด็กๆ ไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด
และปัญหาครอบครัว ตอนนั้นฉันจำรายละเอียดของหนังไม่ได้ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับโรงหนัง
และจำได้อีกว่า ฉันต้องใส่ชุดนักเรียนไปดูหนังด้วยนะ เพราะคุณครูพาไปพร้อมกับคนอื่นๆ
ฉันเลยต้องขอพ่อให้พาฉันไปดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งในวันหยุดต่อมา เพื่อดูเนื้อหามันอีกรอบ
เรื่องที่สองคือ “กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้” หนังวัยรุ่นสมัยพี่มอสยังเอ๊าะ มีโมทย์ เต๋า จอห์น
พี่แท่ง และกลุ่มหินกลิ้งอีกหลายชีวิต เป็นหนังที่ฉันได้รับอนุญาตให้ดูได้พร้อมเพื่อนๆ
ที่เรียนพิเศษด้วยกัน อย่างเช่น มนันยาเพื่อนรัก สิริมาดา ลักษมี สุรกิจ เป็นต้น ตอนนั้น
ฉันก็เป็นวัยรุ่นแล้ว และด้วยความที่ชอบพี่มอสเป็นทุนเดิม เลยประทับใจเรื่องนี้เอามากๆ
เรื่องที่สามคือ “ปีหนึ่งเพื่อนกัน และวันอัศจรรย์ของผม” หนังของพี่มอส พี่แท่ง อีกเช่นกัน
เป็นเรื่องของความผูกพันของพี่ชายกับน้องชาย หลังจากที่ทั้งสองหนุ่มแจ้งเกิดมาจากกลิ้งไว้ก่อนฯ
ก็มีหนังเรื่องนี้ตามมาไม่ห่าง ตามกระแสที่ได้รับความนิยม ฉันก็ได้ไปดูในโรงหนังกับเพื่อนๆ
แถมตอนนั้นฉันแอบปลื้มโอ๋คุง รุ่นน้อง ดูไปก็หันไปมองน้องเค้าไป (แต่เขาช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย)
สามเรื่องที่ผ่านมา เป็นความทรงจำสมัยวัยเด็กและวัยรุ่นของฉัน เรื่องต่อมาเป็นเรื่องตอนโตแล้ว
แล้วก็ดูไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว คือเรื่อง “Con Air” ลุ้นระทึกมากๆ ในความรู้สึกฉัน
เพราะปกติฉันจะไม่ดูหนังพวกรบราฆ่าฟัน หรือหนังผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มาลุ้นมากกับเรื่องนี้
แล้ว Nicolas Cage ก็แสดงเรื่องนี้ได้ดีเยี่ยมมากๆ และมีเพลงที่ซึ้งมากอีกด้วยในหนังเรื่องนี้
สำหรับเรื่องที่มีเนื้อหาลุ้นระทึก อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันชอบก็คือ “Speed” ที่ส่งผลให้คีนู รีฟ
โด่งดังมาก แต่ฉันก็ชอบแค่ภาคแรกภาคเดียว ส่วนภาคอื่นๆ ก็งั้นๆ อาจจะเป็นเพราะ
ความแปลกใหม่ในภาคแรก และคีนู ผู้หล่อเหล่าเข้าตาทำให้องค์ประกอบโดยรวม
กลายเป็นหนังที่น่าประทับใจอีกเรื่องหนึ่งของฉัน เรื่องต่อมาที่ชอบคือ “Armageddon”
หนังฮีโร่โดย Bruce Willis ซึ่งมีทั้งความเสียสละ ความรักความผูกพัน มีครบทุกรสชาด
แถมเพลงในหนังก็เพราะเอามากๆ และที่จะลืมมิได้คือพระเอกในดวงใจของฉัน
พ่อ ฮิวจ์ แกรนท์ ผู้รับบทบาทเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือท่องเที่ยวใน “Notting Hill”
ฉันดูเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนจำได้เกือบทุกประโยคที่ตัวแสดงสนทนากันแล้ว
และก็ชอบมากๆ กับพระเอกที่ใส่เสื้อเชิ๊ตสีฟ้าหรือสีชมพูในหนังเรื่องนี้
แถมมีเพลงประกอบเพราะๆ อย่าง When you say noting at all ด้วย เมื่อพูดถึง
ฮิวจ์ แกรนท์ มีอีกเรื่องที่ฉันชอบ และเป็นหนังที่น่าประทับใจคือ “Love Actually”
หนังรักของคนหลากหลาย ที่ต่างเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ถือเป็นหนังรักใจดวงใจ
ของฉันเลยก็ว่าได้ และก็ตามคาด ฉันก็ดูเรื่องนี้ซ้ำๆ อยู่หลายๆ รอบ พอหลังๆ
ยังอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าคุณปลื้ม (ขอวกเข้ามาหน่อยนะ) อายุ 45 เท่าๆ กับฮิวจ์ แกรนท์
แล้วเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือเป็นโสด!!!
อยากรู้เหมือนกันว่าคุณปลื้มจะปิ๊งสาวอวบ อย่างน้องนาตาลีในเรื่องหรือเปล่า
แต่ถ้านายกรัฐมนตรีอังกฤษตัวจริงหล่อแบบ ฮิวจ์ แกรนท์ คิดว่าคงเป็นที่กล่าวขวัญ
กันไปทั่วโลก พูดถึงความหล่อของพระเอก มีเรื่องจะเล่าแทรกนิดนึง
อาจารย์ธิดา อาจารย์ที่เคยสอนฉันตอนมหาลัย เธอชอบ Richard Gere เอามากๆ
และพยามยัดเยียดให้ลูกศิษย์อย่างฉันชอบด้วย แต่ตอนฉันเป็นวัยรุ่น ตา Gere
ก็จะเป็นปู่อยู่แล้ว แม้ยอมรับว่าแก่แล้วยังไงก็หล่ออยู่ แต่ถ้าจะให้ฉันชอบด้วย
ฉันก็รับตัวเองไม่ค่อยได้ แถมยังอดหมั่นไส้ในบางครั้ง ที่ได้ยินอาจารย์ธิดา
พูดถึงพ่อเทพบุตรสุดหล่อคนนี้บ่อยๆ เพิ่งมาตระหนักเอาตอนอายุสามสิบนี่แหละ
ว่าของแบบนี้ มันเป็นรสนิยมส่วนตัวจริงๆ ถ้าเราจะปลื้มใครชอบใคร มันก็เป็นเรื่องของเรา
และจะบังคับให้คนอื่นชอบหรือไม่ชอบกับเรานั้น มันก็เป็นเรื่องที่เหนือการควบคุมจริงๆ
สำหรับหนังเรื่องอื่นๆ ที่ฉันชอบก็มีหนังการ์ตูนหมีพูห์ อันนี้คงได้รับอิทธิพลมาจากลูกนั่นเอง
ลูกฉันมีหนังเกี่ยวกับหมีพูห์อยู่ในความครอบครอง ประมาณหกเจ็ดสิบเรื่อง
และเป็นการ์ตูนที่มีหลากหลายภาษามากๆ ทั้งจีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฯลฯ
ซึ่ง Walt Disney เขาทำได้ดีมากที่แม้จะฟังภาษาบางภาษาไม่ออก แต่แค่เห็นภาพเคลื่อนไหว
ของการ์ตูนเหล่านั้น เราก็จะเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อออกมา สำหรับการ์ตูนหมีพูห์ที่ฉันชอบ
จะมีอยู่สองตอนคือ “The Tigger Movie” ซึ่งมีเพลง “Your Heart Will Lead You Home”
ที่ลูกชายฉันชอบนั่นเอง ส่วนอีกตอนก็คือ “Piglet BIG Movie” เป็นเรื่องราวของ piglet
กับความผูกพันของผองเพื่อนก๊วนหมีพูห์ ทั้ง Roo Kanga Rabit Eyore Tigger Pooh
และอีกหลายๆ ตัว ที่ออกตามหา piglet ที่หลงทาง ฉันและลูกคงดูทั้งสองเรื่อง
มาเกินยี่สิบรอบแล้ว และก็ตามคาดที่ไม่ว่ามันจะมาเวอร์ชั่น ภาษาอะไร
เราก็สามารถดูการ์ตูนเรื่องนี้รู้เรื่อง และอินกับภาพและเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้
ไม่น่าเชื่อว่าจะเขียนครบสิบเรื่องได้ วันหลังจะลองเขียนซีรีเกาหลีที่ประทับใจดู
คาดว่าน่าจะมีถึงสิบเรื่องเช่นกัน สรุปแล้วหนังส่วนใหญ่ที่ชอบ ถ้าไม่เพราะพระเอก
ก็เพราะเนื้อหาของหนัง แต่โดยรวมๆ แล้ว คนที่ไม่ใช่เซียนดูหนังอย่างฉัน
ก็ไม่มีมาตรฐานอันได้ไปวิจารณ์การทำหนังของผู้กำกับได้ นอกจากใช้ความชอบส่วนตัวจริงๆ