Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for มิถุนายน, 2006

Chat Live!!! in BangKok

             

          การไปดูหมีพูห์และผองเพื่อนครั้งนี้ ต้องขอเล่าตั้งแต่การเตรียมตัวเดินทาง
          เพราะว่าเป็นการบันทึกรายละเอียดเอาไว้ให้แชทอ่านเมื่อลูกโตขึ้น เราสองแม่ลูก
          เตรียมตัวตั้งแต่สี่โมงเย็น เพื่อรอแม่ตี้มารับไปส่งที่สถานีรถไฟ เราขึ้นรถไฟตอนเกือบหกโมง
          โดยนั่งโบกี้ที่เป็นผู้หญิงล้วน โชคดีมากๆ ที่เราได้เพื่อนร่วมทางที่ดีและเป็นกันเองมากๆ
          ทำให้ลูกไม่กลัวและไม่เกร็งแถมไม่งอแงอีกต่างหาก หลอกกินขนมฟรีของสาวๆ
          ในโบกี้ไปหลายอย่างเลย 

          ตอนกลางคืนลูกก็ไม่งอแง ตื่นเต้นมาก ตอนเค้าปูเตียงสีขาวๆ ให้นอน ลูกยืนดูป้าปูเตียง
          เพื่อเก็บรายละเอียดไปเล่าให้พ่อฟัง พอเสร็จปุ๊ปก็โทรหาพ่อ เล่าให้ฟังเป็นฉากๆ
          ตอนกลางคืนก็หลับสบายดี เพราะแม่เอาพี่หมูเน่ามาด้วย แชทอายสาวๆ แถวนั้นเล็กน้อย
          แต่ก็ยินดีมากๆ ที่ได้เห็นพี่หมูเน่าเป็นเพื่อนร่วมทางไปกทม. เพื่อสร้างประสบการณ์ชีวิต
          ครั้งนี้ด้วย

          เราไปถึงหัวลำโพงตอนเจ็ดโมงเช้า ลูกตื่นมาด้วยความสดชื่น ฝนเพิ่งตกไปช่วงเช้า
          ข้างนอกถนนมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นในสายตาของลูก น้องแชทเห็นแท็กซี่สีแดง ส้ม
          เหลือง เขียว และอีกสารพัดสี ที่เชียงใหม่ไม่มี เป็นสิ่งที่สองหลังจากตื่นเต้นกับการนอนในรถไฟ
          เหมือนในการ์ตูนเลยแม่ รถเป็นสีๆ ป้าน้อยและป้าบีมารับเราแล้ว ป้าน้อยมาแบบแม่ค้าเชียว
          เพราะเพิ่งไปซื้อของสำเพ็งมา ส่วนป้าบี ยังวัยรุ่นเหมือนเดิม จากนั้นเราขึ้นรถเมล์ปรับอากาศ
          ไปที่สยาม หลังจากทีลังเลๆ อยู่ว่าจะขึ้นแท๊กซี่ดีไหม เพราะป้าๆ กลัวหลานลำบาก
          แม่บอกป้าๆ ไปว่า ไม่เป็นไร ต้องให้ลองทุกรูปแบบ เราเลยขึ้นรถเมล์กันก่อน ไปพารากอน
          มีเรื่องให้ปวดหัว อีกเล็กน้อย เพราะเราไปถึงเช้าเกินไป คิวแรกเลย คนเก็บตั๋วกำลังเปิดคอมด้วยซ้ำ 
          ตายละหวาอาติมให้ตั๋วแม่มา ชักจะไม่คุ้มซะแล้ว เพราะแชทไม่ยอมเข้ากลัวความมืด

          ป้าน้อยก็กลับไปทำงานแล้ว แล้วแม่กับป้าบีจะหลอกล่อแชทยังไงนี่ พอดีไปเจอร้านขายของที่ระลึก
          ลูกอยากซื้อมากๆ แม่เลยได้โอกาสบอกว่า ต้องเข้าไปดูข้างในก่อนแล้วค่อยออกมาซื้อ
          ไม่งั้นเค้าจะไม่ขายให้ลูกนะ แล้วลูกก็จะชี้เลือกไม่ถูกด้วยนะเออ พอดีมีพี่ๆ เค้ามาอีกสองสามคน
          พร้อมคุณพ่อคุณแม่ แชทเลยยอมเข้าไปตามพี่ๆ เค้า แต่ยังลังเลๆ จะกลับออกมาอีกหลายครั้ง
          เพราะยิ่งเข้าไปก็ยิ่งมืด จนไปเจอกับเพนกวินที่ลูกชอบ ลูกเลยนั่งดูเพนกวินนานกว่าดูอย่างอื่น
          และมี playland ให้เล่นด้วย ซึ่งตอนอยู่เชียงใหม่ลูกไม่เคยได้เล่นเลย เพราะแม่ไม่เคยให้ลูกเข้าไป
          เพราะกลัวฝุ่นและติดหวัดเด็กคนอื่นๆ แต่ที่นี่ alone มากๆ มีแชทคนเดียวเอง เล่นคนเดียว
          อาณาจักรแชทจริงๆ ป้าบีบอกว่า คนกรุงเทพเค้ายังไม่ตื่นกัน แชทวิ่งไปดูนักประดาน้ำ 
          และกลับมาเล่นต่อ เข้าอุโมงค์ดูปลาฉลามกันเล็กน้อย ป้าบีกับแม่ ก็บ่นๆ ว่า สมัยเราเป็นเด็ก
          ทำไมไม่มีแบบนี้บ้างนะ เราสองคนก็เลยเห่อยิ่งกว่าแชทอีก ยังนึกอยู่ในใจกันว่า ถ้าแชทไม่ยอมเข้ามา
          จะทำไงนี่ แม่กับป้าก็คงอดเห็นกันพอดี 

          จากสยามโอเชียนเวิร์ล เรารีบออกจากพารากอนไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS เพื่อไปต่อรถไฟฟ้าใต้ดิน
          BTS ใจดี แชทได้ขึ้นฟรี แต่รถไฟฟ้าใต้ดิน แชทต้องเสียเงินครึ่งราคา จากนั้นก็มาถึง
          สวนลุมไนท์บาร์ซา ซึ่งเป็นตอนกลางวัน ยังเงียบเหงากันอยู่ เห็นชิงช้าชาลีที่สูงๆ อยู่ลิบๆ
          ไปแวะกินอาหารอีสานแถวนั้น ก่อนเข้าฮอล ให้ตายสิ คนอีสานทำอาหารอีสานไม่ได้เรื่องเลย
          น่าอายมากอะ แต่ละโต๊ะซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่พาลูกมาดูพูห์ กินทิ้งกินขว้างกันสุดฤทธิ์
          แม่พยายามกินไก่ให้หมด รักษาน้ำใจเค้า และเสียดายของตามประสาคนเห็นแก่กิน 

          พอใกล้บ่ายโมง เราไปที่ฮอล อะโห แหล่งรวมเด็กๆ จริง ๆ ทั้งลูกครึ่ง ลูกไม่ครึ่ง
          และพวกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดก็มากโข ของที่ระลึกขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
          และเทเงินออกจากกระเป๋าพ่อแม่ แพงมาก แพงโครต แพงยังกะขายที่เมืองนอก
          แม่ถามฝรั่งผู้จัดการว่าทำไมขายแพงกว่าในห้างมาก เค้าบอกว่า เป็น Special for Live!! 
          เฉพาะการแสดงครั้งนี้ แต่อย่างว่านะ Mom Life!!! จะปวดหัวตาย ตุ๊กตาจาก 250 ขาย 700
          ของเล่นอันละ 300 – 500 แค่ popcorn กับสายไหม ก็แพงเวอร์ละ แต่เด็กๆ จะไปรู้อะไร
          เกี่ยวกับกระเป๋าเงินของพ่อแม่ ถ้าคิดจะเอาแล้วต้องได้ สำหรับแชท ซื้อกล้องส่องทางไกล
          รูปหน้า OWL กับสายไหมแถมหมวกหมีพูห์ก็หมดไปหลายร้อยแล้ว

          การแสดงค่อนข้างน่าประทับใจ ถือว่า คุ้มกับการซื้อตั๋วเข้าดู แต่ไม่รู้ว่า จะคุ้มไหม
          ถ้าเค้ารู้ว่าเราต้องมาจากเชียงใหม่ เพื่อไปดู แต่สำหรับแม่และแชท ถือว่าคุ้มมาก
          เพราะแชทหัวเราะตลอดตอนที่เค้าแสดง มีหัวเราะล่วงหน้าบ้าง เพราะรู้มุขแล้ว 
          ดูซีดีมาหมดแล้ว แต่นักแสดงก็เป็นมืออาชีพมากๆ สามารถให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมหลายอย่าง 
          ทำให้ไม่น่าเบื่อ มีตอนใกล้จบหลังจากที่หัวเราะงอหาย ลูกดันร้องไห้ เพราะอยากกินนมขวด
          นมขวดแม่ฝากไว้ที่ป้าน้อยซึ่งกลับไปทำงานแล้ว ให้ตายสิลูก ทำไมมาดื้อตอนนี้
          ก่อนที่หัวเราะเสียงดังกว่าคนอื่น ก็ร้องไห้เสียงดังจนแม่ต้องปิดปากไว้ อายคนอื่น
          แล้วลูกก็สงบลงได้ด้วยตัวเอง และดูพูห์ต่อจนจบ และแม่พาลูกไปถ่ายรูปที่หน้าเวที 
          แต่เค้าไม่ให้ขึ้นเวที เพราะมันจะวุ่นวายและต้องใช้แสดงต่ออีกหลายรอบ

          ลูกกับแม่เลยออกมาหาป้าบี ที่รออยู่ที่ร้านกาแฟดอยตุง และป้าบีต้องแบกแชท ให้แชทขี่หลังไว้
          เพราะแชทเหนื่อยและเมื่อยมาก ป้าบีจะบอกแม่เป็นระยะๆ ว่า "ชั้นจะไม่มีลูกเด็ดขาด อิอิ"
          ป้าบีพาเราขึ้นรถเมล์เพื่อจะไปหาป้าน้อยที่ประตูน้ำ ลูกก็นอนหลับในรถเมล์ ที่ไม่ค่อยขยับซักเท่าไหร่
          เพราะรถติด เราลงที่เซนทรัลเวิร์ลไม่ได้ เพราะตั้งใจว่าจะไป TK Park เลยไปลงที่โรงแรม
          แถวที่ทำงานป้าน้อย ลูกนอนอยู่ lobby โรงแรม แม่กับป้าบี เลยต้องสั่งน้ำส้มและน้ำเปล่า
          มากินแก้เขิน พอลูกตื่น ก็เลยไปเดินห้างแถวประตูน้ำ ยังไม่ทันได้ซื้ออะไรเลย แชทก็ลากแม่ไปๆ มาๆ
          อยากซื้ออะไรซักอย่าง แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เลยชวนกันไป TK Park ขึ้นเขาวงกตไปห้องสมุดมีชีวิตกัน 
          ลูกชอบมาก มันคล้ายกับว่า นี่แหละ อาณาจักรที่ฉันชอบ มีที่ให้กระโดด มีหนังสือเล่มสวยให้อ่าน
          หนังสือพูห์เพียบ ไม่มีใครมาแย่งเล่น มีพี่นักข่าวมาสัมภาษณ์แชทด้วย ว่ามาบ่อยไหม
          ลูกตอบได้เนียนมาก บอกว่า มาบ่อยๆ มาอ่านหนังสือพูห์กับแม่ จนแม่อาย ต้องแอบไปบอกพี่นักข่าวว่า
          ลูกเพิ่งเคยมาครั้งแรก พี่นักข่าวหัวเราะและบอกว่า แบบนี้แหละค่ะคุณแม่ ธรรมชาติของเด็ก
          ได้แบบนี้ก็ดีแล้วค่ะนักข่าวชอบใจที่แชทตอบได้ตรงคำถามเค้ามาก ๆ

          หกโมงเย็น ทีเคฯ ปิดแล้ว เราเลยนั่งแท็กซี่มารับป้าน้อย เพื่อจะไปสนามบินกัน แม่โทรหาป้านัทตี้
          เพื่อจะนัดเจอกัน แต่แม่ทำพลาด เพราะแม่ไม่ได้เปิดโทรศัพท์ไว้ตลอด ทำให้ป้านัทตี้ติดต่อแม่ไม่ได้
          เลยอดที่จะได้เจอกัน น่าเสียดายๆ ป้าน้อยกับป้าบีมาส่งเราขึ้นเครื่อง และนัดเจอพี่จูนกับพี่กุ๊กที่นี่
          เพื่อกลับเชียงใหม่ด้วยกัน ตอนอยู่ในเครื่องบิน ลูกทำตัวเป็นเด็กดีมาก จนคุณตาคนข้างๆ ชมว่า
          ลูกน่ารักดี ทำตัวดีกว่าที่แม่คิดไว้ทีเดียว เพราะไปถึง คุณตาบอกว่า สวัสดีครับ ลูกก็ยกมือไหว้คุณตา
          จนแม่แทบไหว้ตามไม่ทัน ลูกวาดรูป ระบายสีไปตามเรื่อง แม่ก็กลัวลูกเบื่อเหมือนกัน แชทอยากฉี่
          แม่เลยให้พี่คนสวยแอร์โฮสเตสไปส่งลูกเข้าห้องน้ำ ลูกบอกว่า กระดาษทิซซู่สีม่วงด้วยแม่
          (ช่างสังเกตมาก) ในเครื่องมีเด็กที่ไปดูพูห์กลับมาสองคน สังเกตเอาจากของที่ระลึกที่พ่อแม่
          ต้องเสียเงินซื้อให้ลูก น้องผู้หญิงคนนั้นคงอายุเท่าๆ แชท แต่แม่จำได้ว่าคุณพ่อเค้าเป็นอาจารย์
          สอนในมช. นี่แหละ ได้แต่ยิ้มทักทายกัน พร้อมทำหน้าเหี่ยวๆ ใส่กัน เพราะว่า ทุ่มทุนสร้าง
          กันไปเยอะสำหรับงานนี้ 

          เรามาถึงสนามบินเชียงใหม่ตอนสามทุ่ม ซึ่งลูกก็ยังไม่งอแง แต่ก็ไม่ยอมกินนมในเครื่อง
          คงจะอายๆ อยู่บ้าง พอรถวิ่งยังไม่เลยแอร์พอร์ทเลย ลูกก็หลับแล้ว เรามาถึงบ้านตอนสี่ทุ่ม
          ย่ากำลังรอแชทด้วยใจจดจ่อ แต่แชทหลับไปแล้ว กลับมาถึงด้วยความสวัสดิภาพ และสุขใจ
          และที่สำคัญเป็นสุขมากๆ สำหรับทริปนี้ ถึงแม้ว่า พ่อจะไม่ได้ไปด้วย ทั้งๆที่พ่อก็อยู่ กทม.
          แต่ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย ได้แต่โทรหากันเป็นระยะ เพื่อรายงานความก้าวหน้า คราวหน้า
          ถ้ามีโอกาสเราคงได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกนะ Happy Tip ครั้งนี้ เป็นความทรงจำที่ดีๆ ทั้งแม่และลูกเลยจ้า

              

Read Full Post »

           พ่อหมูตุ้ยไปสัมมนาที่กรุงเทพตั้งแต่วันอังคารแล้ว แม่กับแชทเลยต้องอยู่กันสองคน
          ที่จริงก็ไม่ได้อยู่สองคนซะทีเดียว มีย่าและน้าโภชน์อยู่ด้วย แต่แชทแอบบ่นคิดถึงพ่อเสมอๆ
          ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ด้วยก็ไม่ค่อยสนใจกันเท่าไหร่ ต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างอ่านหนังสือ
          มีโลกของตัวเอง อย่างนี้แหละนะ คนเค้าถึงว่า "ถ้าไม่อยู่ห่างไกล ก็ไม่รู้จักคุณค่า
          ของความคิดถึง" โดยเฉพาะลุงอาน นั่งนอนเจ้าจัยคิดถึงพ่อหมูตุ้ยแบบสุดๆ
          พอพ่อถามแชทว่า แชทคิดถึงพ่อไหม? แชทตอบทันทีว่า แชทไม่คิดถึงหรอก
          แชทมีแม่อยู่แล้ว ย่าแทบอกจะแตก เพราะคำพูดแชท ย่าบอกว่า ถ้าเป็นย่า น้อยใจตายเลย
          เพราะแชทติดแม่มากกว่าพ่อนั่นเอง เลยตอบพ่อไปแบบนี้ แต่พ่อไม่น้อยใจหรอกเน๊อะ
          เพราะพ่อชินแล้วเวลาที่แชทเข้าข้างแม่เสมอๆ 😛

           แชทแอบหวังว่า พรุ่งนี้ที่เราไปกทม. กัน จะได้เจอพ่อที่โน่น จริงๆ แล้วพ่อไปประชุม
          UNINET ที่นครปฐม และคงไม่ได้เจอกันแน่ๆ และยังต้องบินกลับหลังเราอีกหลายวัน
          แชทจะตื่นมาตอนเช้าแล้วถามว่า เราจะไปดูพูห์กันหรือยัง นับวันถอยหลังได้เลยลูก
          อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วหละ อิอิ : )

 

Read Full Post »


          แม่ตั้งหน้าตั้งตารอเงินวิจัยโครงการใหม่มาหลายเดือน ทั้งๆ ที่เค้าอนุมัติตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม
           ไม่รู้ว่าถ่วงอะไรกันนักหนา แต่ก็อย่างว่า เงินหลวงก็ต้องช้าเป็นธรรมดา ที่เฝ้าใจจดใจจ่อรอเงินเค้า
            ก็เพราะว่า อยากจะให้เป็นโบนัสความขยันของตัวเอง ทั้งๆ ที่เงินก็ไม่ได้มากมายอะไร
            แต่พอได้มาแต่ละที มันก็อดภูมิใจไม่ได้ (เพราะกว่าจะขอได้ มันยากเย็นมาก
            สำหรับคนที่จบแค่ปริญญาตรี แล้วเสนอหน้าจะขอทุนวิจัย)  พูดถึงการจบแค่ปริญญาตรี
            ถ้าเราอยู่ในที่ที่เค้าไม่ต้องแข่งขันกันเรื่องปริญญา ไม่เอาปริญญาบัตรเป็นเครื่องวัด
            ก็คงไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรกันมากนัก แต่สำหรับสังคมที่นี่ คงจะอดไม่ได้ที่จะโดนวัดกัน
            แค่เรื่องจบปริญญาดีนะ ยังไม่มีอคติขนาดว่า ถ้าไม่ได้เรียนจบที่นี่จะไม่รับเข้าทำงาน (อันนั้นก็เกินไป)
            พูดถึงเรื่องปริญญา ต้นปีหน้าแม่ก็คงต้องเรียนต่อ (ให้ได้) เพราะมันคงถึงเวลาแล้ว
            สำหรับคำถามที่ว่าทำไมไม่เรียนต่อ คงเป็นเพราะบรรณารักษ์คนอื่นๆ เค้าเรียนต่อกันหมดแล้ว
            แต่จริงๆ แล้วสำหรับวิชาชีพบรรณารักษ์ปริญญาโท ไม่ได้สำคัญเท่ากับประสบการณ์จริงๆ
            ที่น่าทึ่งก็อย่างเช่น ป้าผ่อง ป้าชื่น ป้าตุ๊ เหล่าป้าๆ บรรณารักษ์ผู้มีความสามารถสูงเหล่านี้
            ไม่ได้จบปริญญาโทเลย แต่ป้าๆ เค้ามีประสบการณ์และมีศักยภาพสูงมาก จนแม่สามารถ
            เอามาปรับใช้เป็นตัวอย่างได้ พอปรึกษาลุงเล็ก ลุงเล็กก็บอกว่า ไม่สำคัญและไม่จำเป็น
            ถ้าจะเรียนแค่เอามาประดับบารมีว่าชั้นเรียนจบ ป.โทแล้ว (แถมเปลืองเงินด้วย)
            แต่ลุงเล็กดันจบแค่ ดร.) ถือซะว่า ถ้าเรียนแล้ว เค้าจะได้ไม่ถาม แต่พอเรียนๆ ไปแล้ว
            ก็คงจะมีถามตามมาอีกว่า เมื่อไหร่จะเรียนจบ ป.โท????!!!
            วกมาถึงเรื่องการได้เงินวิจัย สิ่งแรกที่อยากซื้อให้ลูกคือ ของเล่นไม้ของ playtoy
            ที่เป็นเครื่องมือช่าง แต่ไปดูราคาแล้ว หลายพัน ซื้อไม่ลงอีกตามเคย ได้หนังสือพูห์มาฝากลูก
            อีก 1 เล่ม ตามที่ลูกสั่ง (ก็ยังดี) มีรองเท้า LEE (อันนี้พอซื้อได้) เพราะมันลดราคา
            และรองเท้าของพ่อ กางเกงพ่อ (ของคุณผู้ชายค่อนข้างแพง) แต่ถ้าถือว่า ใส่ตอนทำงาน
            ก็น่าจะคุ้มทั้งรองเท้าและกางเกง เพราะพ่อใส่ได้อีกหลายปี และที่สำคัญ ยังหาของขวัญ
            สำหรับตัวเองไม่ได้ แต่เล็งๆ กระโปรงสีชมพูไว้แล้ว แต่มีเวลาน้อยเลยไม่ได้ไปดูใกล้ๆ
            ถ้าเห็นราคาแล้วน่าตกใจ ก็อาจจะแห้ว แต่สำหรับแม่แล้ว การได้ซื้ออะไรให้พ่อกับแชท
            ก็ถือว่าเป็นสุขแล้ว เหมือนกับตอนที่พ่อซื้อเทรนเนอร์ มาเซอรไพรส์แม่ ตอนแรกเห็นก็ตกใจ
            เพราะว่า เสียเงินอีกแล้ว แต่ลึกๆ แล้วก็อดภูมิใจไม่ได้อยู่ดี ที่พ่อพยายามจะซื้ออะไรให้แม่ 
            แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ กลัวจะกลายเป็นวัตถุนิยมนำหัวใจ อันนี้น่ากลัวมาก ไม่อยากให้เกิดกับบ้านใคร
            และไม่อยากให้เกิดขึ้นในบ้านของเราด้วย เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นๆ อยู่ใกล้ๆ ตัว ใกล้ๆ ใจเราเหมือนกัน

Read Full Post »

         

          วันที่ 7 มิถุนายน 49 เวลา 19.00 น.
          – ได้ระยะทางทั้งหมด 15 กิโลเมตร ถ้าเทียบจากบ้านเกิด – ตลาดแม่ขายผัก 2 กิโลเมตร
             ปั่นมาแม่จัน ผ่านหน้าบ้านโอ๋คุง ผ่านหน้าโรงหนัง ถึงแยกท่าตอน (เป็นระยะทางคาดเดา)
          – ใช้เวลา 54 นาที (ปั่นเกียร์เบามาก) ความเร็วเฉลี่ย 16.5 กม. ต่อชม. ใช้พลังงาน 149 แคลลอรี่

          วันที่ 8 มิถุนายน 49 เวลา 19.30 น. 
          
– ได้ระยะทางทั้งหมด 10 กิโลเมตร ถ้าต่อจากแยกท่าตอน ก็ผ่านศาลเจ้าพ่อกิ่วทับยั้ง
             (ต้องยกมือไหว้ด้วย ไหว้มาแต่เด็กแล้ว) ผ่านค่าย ตชด. ผ่านร้านขายสัปรดนางแล
             ผ่านมหาลัยแม่ฟ้าหลวง ผ่านมหาลัยราชภัฏเชียงราย ถึงแค่กาดบ้านดู่ แยกสนามบิน 
          
– ใช้เวลา 34 นาที (ปั่นเกียร์เบา สลับเกียร์หนัก แต่ปวกเข่ามาก) ความเร็วเฉลี่ย 17.4 กม.
             ต่อชม. ใช้พลังงาน 108 แคลลอรี่

          วันที่ 10 มิ.ย. 19 เวลา 7.00 น.
          – ได้ระยะทางทั้งหมด 10 กิโลเมตร รวมของเดิมจากแยกสนามบิน ก็คงมาถึงแค่
             แยกแม่สรวย – พะเยา
          – ใช้เวลา 36 นาที (ปั่นเกียร์เบา เพราะมัวแต่ดูทีวีไปด้วย) ความเร็วเฉลี่ย 16.6 กม.ต่อชม. 

             ปล. ณ เวลาที่ up blog ตอนนี้ ห้าทุ่มยี่สิบ ของวันที่ 11 มิ.ย. อยากปั่นจกย. ขึ้นมาตะหงิดๆ
             ถ้าไม่กลัวว่าแม่สามีจะลุกขึ้นมาด่า คงปั่นไปถึงเชียงใหม่แล้ว (อีก 180 กิโลเอง อิอิ) 

          วันที่ 12 มิ.ย. 49 เวลา 19.00 น.
          – ได้ระยะทางทั้งหมด 15 กิโลเมตร ใช้เวลา 51 นาที (มัวแต่ดูทีวีมากกว่า Sweet 18 รอบที่ 3 แล้ว)
             ความเร็วเฉลี่ย 17.5 กม.ต่อ ชม. เสียพลังงาน 162 แคลลอรี่

          วันที่ 13 มิ.ย. 49 เวลา 6 โมงเช้า
          – ได้ระยะทางอีก 10 กิโลเมตร ใช้เวลา 36 นาที (ดูหนังครบ 16 แผ่น แถมด้วย Type อีกนิดหน่อย) 
             ความเร็วเฉลี่ยแค่ 16.3 กม. ต่อชม. เสียพลังงาน 99 แคลลอรี่ 

          วันที่ 14 มิ.ย. 49 เวลา 19.00 น. 
          – ได้ระยะทาง 15 กิโลเมตร ใช้เวลา 52 นาที (ดู Love Story in Harvard วิวสวยมาก) 
             ความเร็วเฉลี่ย 17.1 กม.ต่อชม. พลังงาน 156.7 แคลลอรี่ 

          วันที่ 15 มิ.ย. 49 เวลา 18.30 น.
          – ได้ระยะทาง 18 กิโลเมตร ใช้เวลา 56 นาที (ดู Love Story in Harvard ถึงตอนที่ 5)
          ความเร็วเฉลี่ย 18.3 กม.ต่อชม. พลังงาน 186 แคลลอรี่

          วันที่ 16 มิ.ย. 49 เวลา 6.00 น.
          – ได้ระยะทาง 10 กม. ใช้เวลา 36 นาที พลังงาน 102 แคลลอรี่ ความเร็วเฉลี่ย 16.8 กม. 
             (Love Story in Harvard ตอนที่ 6) รวม 68 กิโลเมตร ต้องปั่นให้ได้อีก 200 กม. 
             จะถือว่า เป็นระยะทางจากเชียงรายถึงสันทรายเชียงใหม่ (แต่ความสบายต่างกันเยอะ 
             เพราะไม่ได้ใช้ระดับของการปั่นขึ้นเขาเลย)

          วันที่ 18 มิ.ย. 49 เวลา 19.00 น. 
         
– ได้ระยะทาง 9 กม. เฉลี่ย 16.5 กม.ต่อชม. ใช้พลังงาน 92.6 แคลฯ ด้วยเวลา 33 นาที

          วันที่ 20 มิ.ย. 49 เวลา 19.00 น.
          – ได้ระยะทาง 6 กม. เฉลี่ย 15.4 กม.ต่อชม. ใช้พลังงาน 56.9 แคลฯ เวลา 23 นาที

          วันที่ 22 มิ.ย. 49 เวลา 19.00 น.
          – ระยะทาง 15 กม. เฉลี่ย 17.7 กม.ต่อชม. ใช้พลังงาน 161.4 แคลฯ เวลา 50 นาที 
            (ดู Love Story in Harvard จบแล้ว)

          วันที่ 27 มิ.ย. 49 เวลา 16.40 (จาก มช. – สันทราย)
          – ระยะทาง 22.65 กม. (ไม่ผ่านห้วยตึงเฒ่า ได้ระยะทางมากกว่า 22.22 กม.) เฉลี่ย 24.1 
            เผาผลาญพลังงาน 384.1 แคล แดดแรงมาก ใช้เวลา 56 นาที
            (ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงซัก 1 ชม. 10 นาที)

          วันที่ 28 มิ.ย. 49 เวลา 19.00 น. (ลดระดับการปั่นให้เท่ากับปั่นบนถนนจริง)
          – ระยะทาง 10 กม. เฉลี่ย 21.1 กม.ต่อชม. พลังงาน 137.4 cal เวลา 28 นาที
             (ปั่นสบายเกินไป ขาไม่ล้า)

          วันที่ 30 มิ.ย. 49 เวลา 19.00 น.
          – ระยะทาง 12 กม. เฉลี่ย 21.6 กม.ต่อชม. พลังงาน 165.8 cal เวลา 33 นาที 
            รวม 74.65 บวกของเก่า 68 รวมเป็น 142.65 เหลืออีก 57.35 กิโลเมตร

            น้ำหนักไม่ลดซักขีด แต่กล้ามขาขึ้นเป็นมัดๆ หุหุ
           
ปล. ภาพประกอบจาก http://www.thaibikeworld.com/ 

Read Full Post »


         

          ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แม่ก็มีความทรงจำว่า ตัวเองเป็นลูกแม่ค้า (ขายผัก) 
          ซึ่งเป็นแม่ค้าที่แต่งตัวอินเทรนอยู่ตลอดเวลา ทรงผมสุดเริ่ด ตั้งแต่สมัยน้องทาทา กำลังดัง
          แม่ก็ทำ จนถึงเดี๋ยวนี้ อายุปาเข้าไปจะห้าสิบอยู่แล้ว สีผมยังเป็นสีน้ำตาลแดง
          (ลดความแรงลงบ้างแล้ว) เล็บมือเล็บเท้ายังสวยเช้ง ใส่ทองเส้นเบ้ง ข่มแผงข้างๆ
          และที่เพิ่มมาอีกอย่างคือ การเป็นท้าวแชร์ เก็บเงินทุกวัน (ไม่นับรวมการออกเงินกู้
          ที่โดนเบี้ยวเป็นพักๆ ก็ยังไม่เข็ด)

          ตั้งแต่เล็กจนโต บอกตามตรงเลยว่า แม่ไม่ได้ไปช่วยยายอ่อนขายของที่ตลาดเลย 
          ไม่ใช่ว่าอายหรือว่าอะไรหรอก เพราะชีวิตแม่มีแต่การเรียนและกิจกรรม 
          ไม่เว้นแม้แต่วันหยุดราชการ ตอนเช้าก็ต้องไปโรงเรียนก่อนยายอ่อนจะไปขายของที่ตลาด 
          ตอนเย็นกลับมา เค้าก็เก็บของกันหมดแล้ว วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปเรียนพิเศษ 
          จนแม่ค้าในตลาดชอบเหน็บว่า จะเรียนอะไรกันนักหนา อยากรู้เหมือนกันว่า โตมาจะได้เป็นอะไร 
          ตอนนั้นก็ค่อนข้างไม่พอใจแม่ค้าคนอื่นๆ ที่ว่า แต่ตอนนี้กลับไปตลาดทีไร แล้วยกมือไหว้แม่ค้า
          เพื่อนๆ แม่เหล่านั้น โดยที่เราไม่ต้องไปโฆษณาเลย เค้าก็คงรู้ว่า โตมาแล้วเราได้เป็นอะไร

          พูดถึงการไปช่วยยายอ่อนขายของที่ตลาด แม่ก็เพิ่งมีโอกาสไม่นานมานี้ 
          ตอนที่พาแชทไปเรียนประสบการณ์ชีวิต ด้วยการช่วยยายขายของ น้องแชทพูดเก่งอยู่แล้ว 
          ตอบคำถามได้หลายอย่าง ป้าๆ น้าๆ เลยชอบใจกันใหญ่ มันก็มีความสุขไปอีกแบบ แต่ลึกๆ แล้ว
          ก็อดสะท้อนใจ ว่าเงินทองที่แม่มีกินมีใช้ตอนเรียนหนังสือ เป็นความสามารถของพ่อแม่
          ที่ต้องลำบากหามาให้ แต่เราก็ไม่ได้ช่วยอะไรท่านเท่าไหร่เลย (ว่ามั้ย)

          วันหยุดที่ผ่านมา ตากับยายมาซื้อรถคลิกให้น้าโภชน์ เงินที่ซื้อเป็นเงินของยายอ่อน ของแม่น้อง
          และของแฟนน้าโภชน์ เรียกได้ว่า รถคันนี้นารีอุปถัมภ์แท้ๆ เลย พอซื้อรถเสร็จ ยายอ่อน 
          ก็เอาหน่อไม้ในสวนตาพล มาขายด้วย เราก็เลยสวมหัวใจการเป็นแม่ค้า พ่อค้ากันอีกครั้ง
          ไปเปิดท้ายขายของที่ตลาดใกล้บ้านที่ลำพูน สนุกแต่เหนื่อย แต่แชทดูไม่ค่อยเหนื่อยเลย
          แถมส่งเสียงแจ้วๆ ขายได้อย่างคล่องแคล่ว แชททำให้ตา ยาย และ แม่ ได้ยิ้มกันถ้วนหน้า
          ถือว่า เป็นสิ่งที่ชดเชยในวันเด็กของแม่ได้ดีทีเดียว 

         

Read Full Post »