Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for สิงหาคม, 2009

ตั้งชื่อน้อง

ภาระกิจหลักของแชทตอนนี้ที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าวิชาที่ต้องเรียนในแต่ละวันก็คือ
การต้องหาชื่อของน้องตัวเอง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าน้องจะเป็นเพศใด ทำให้ต้องตั้งชื่อเผื่อสองเพศ
สำหรับชื่อเด็กผู้ชายนั้นไม่ยากเลย เพราะมันอยู่ในหัวแชทมาตั้งแต่แรก คือ "น้องชู้ส"
เด็กชายกฤตธินนท์ ชัยมินทร์ คล้องจองกับ เด็กชายกฤตนนท์ ชัยมินทร์

สำหรับชื่อจริงนี่แชทก็เป็นคนคิดขึ้นมาเอง ส่วนความหมายยังไม่ได้เปิดพจนานุกรม
แต่ก็คงเหมือนกับชื่อของแชท กฤตนนท์ ไม่มีความหมายในพจนานุกรม
แต่แม่แปลไว้ให้แชทว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ"
ถ้าเด็กชายกฤตธินนท์เกิดขึ้นมาอีกคน ก็คงแปลความหมายได้ไม่ต่างจากชื่อของพี่ชาย

แต่ถ้าน้องเป็นผู้หญิงหละ ถ้าเป็นเมื่อก่อน น้องจะต้องชื่อว่า "น้องเพิร์ธ" เหมือนในรูประกอบสเปซนี้
เด็กชายและหญิงในรูปหลักของสเปซนี้ เป็นรูปที่ได้มาตั้งแต่แม่ไม่แต่งงาน เห็นเด็กชายหญิงในรูป
ทำให้เกิดความรู้สึกว่า อยากมีลูก และจะต้องชื่อว่า chat and pirch เหมือนที่จองไว้ในใจ
แต่สำหรับพี่แชท เมื่อโตขึ้นก็เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง และบอกว่าชื่อน้องเพิร์ธไม่โอแล้ว

แต่ชื่อน้องมังคุด ดูจะโอกว่า ไม่รู้ไปติดใจอะไรนักหนากับชื่อน้องมังคุด เพราะซ้อมประกาศชื่อน้องแล้ว
น้องมังคุดกลับบ้านนนนนนนนค่ะ เวลาคุณครูประกาศจะต้องทำเสียงอะไรประมาณนี้
แต่แม่ยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับชื่อนี้เท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่ามันแอบเชยเล็กๆ แชทยังไม่ละความพยายาม
ตอนไปอยู่เวรที่ห้องสมุดกลาง แชทเลยเอาบริแทนนิก้าภาษาไทยมาเปิดเพื่อหาชื่อน้อง

แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะบางคำภาษามันยากเกินกว่าเด็ก ป. หนึ่ง จะเข้าใจได้
แม่เลยมีข้อเสนอใหม่ที่คาดว่าแชทจะต้องชอบสำหรับชื่อน้องผู้หญิงก็คือ
น้องดิสนีย์ เด็กหญิงกดิษนีย์ ชัยมินทร์ ดูชื่อเล่นแล้วรู้สึกเหมือนเป็นทาสต่างชาติวัตถุนิยมยังไงไม่รู้
แชทก็เออๆ ออๆ ยังไม่กล้าแย้งแม่ แต่ถ้ามีโอกาสแชทก็จะแอบหยอดว่า ชื่อน้องมังคุดก็โอนะแม่!!!

Read Full Post »

ว่าจะเขียนเรื่องที่ไปดูบอลแมนยูมาตั้งแต่วันแรกๆ ที่กลับมาถึงแล้ว แต่ด้วยภาระหน้าที่และมีเรื่องอื่นสำคัญกว่า
เรื่องครั้งหนึ่งในชีวิตเรื่องนี้ จึงถูกพักไว้และเกือบจะไม่มีการเขียนถึงอีกด้วยซ้ำ
แต่มีน้องที่รู้จักกันจากในทริปนี้ ถามผ่านเอ็มมาว่าเรารู้จักกันมากี่วันแล้วพี่?

พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เลยต้องเอาเรื่องมิตรภาพและความทรงจำของกะเหรี่ยงแดงกลุ่มนี้มาโพสไว้
ต้องขอออกตัวว่าจะไม่ใช้คำว่า "ทีมแม้วแดง" เพราะจะไปสอดคล้องกับเนื้อหาของการเมืองน้ำเน่า
แห่งประเทศสารขัน และที่สำคัญวันที่เราพร้อมใจกันใส่เสื้อแดงไปเชียร์ทีมรัก
ถ้าตอนนั้นเป็นเมืองไทย คงมีคนเอามาโยงกับเรื่องการเมืองอย่างแน่แท้

ต้องเล่าตั้งแต่ต้นว่าเหตุใดฉันถึงได้กระแตงชีวิตน้อยๆ อีกชีวิตหนึ่งไปสมบุกสมบันฝ่าฝันกับไข้หวัด 2009
จริงๆ แล้วก็คือ เราได้มีการวางแผนกันมาหลายเดือนแล้วเรื่องที่จะไปดูบอลแมนยูที่มาเลเซีย
ขนาดว่าจองตั๋วทุกอย่างไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว เหลือแต่แพ็คกระเป๋าขึ้นเครื่องเท่านั้น
ที่สำคัญคือ เราเจอโรคเลื่อน!!! เพราะประเทศจีนขอแลกวันกับมาเลย์ ทำให้เราต้องเลื่อนตั๋วตาม

และมีเรื่องเมาท์สำหรับความโครตจริงใจของสายการบินสีแดงสายการบินโลว์คอสประจำชาติเสือเหลือง
และมีบริการในประเทศไทยด้วย พอพวกฉันขอเปลี่ยนตั๋วและเสียเงินใหม่เกือบเท่าๆ ตั๋วเดิม
เขาก็ออกโปรโมชั่นไปดูบอลมาเลย์แบบราคาถูกมากๆ มาเกทับคนที่จ่ายเงินแล้ว
เขาเคยนึกไหมว่า เงินไม่กี่ร้อยบาทคงคุ้มมาก กับการที่ไม่คิดจะซื้อใจลูกค้าตาดำๆ อย่างพวกฉันไว้เลย

สรุปแล้วโปรโมชั่นที่ถูกกว่า แต่พวกเราก็ไม่แยแส แต่ตอนนั้นยังพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะต้องง้อเค้าอยู่
แต่สำหรับสาวกปีศาจแดงห้าหกสิบคนที่ต้องเปลี่ยนตั๋วในคราวนั้น จะจดจำสายการบินสีแดงไปจนตาย
แม้เราจะเป็นทีมสีแดงด้วยกัน แต่บางอย่างเราก็เลือกที่รักมักที่ชังเหมือนกัน
และสายการบินนี้ไม่คิดจะมองการณ์ไกลไปเลยว่า แทนที่จะได้ลูกค้าเพิ่มมาห้าหกสิบคน

แต่กลับได้แค้นฝังหุ่นมา แอบแช่งอยู่ในใจลึกๆ และที่สำคัญคุณประเมินโลกแห่งอินเทอร์เน็ตน้อยไป
กระแสแห่งการบอกต่อในเว็บมันระอุแค่ไหนก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่ จากคนที่ประสบ 1 คน บอกต่อไปกี่คน
นี่ยังไม่นับคนที่จะมาอ่านเว็บอิฉันวันนี้และวันหน้า อยากจะบอกว่า นอกจากความไม่ตรงเวลาของการบินแล้ว
คุณยังคงคิดจะเอาเปรียบลูกค้าตาดำๆ ได้ทุกเมื่อ กับแค่อยากได้เงินของพวกเขาไม่กี่ร้อยบาท

สรุปแล้วอ่านมาครึ่งเรื่องยังไม่เข้าเรื่องของการได้ดูบอลเลย เพราะมาเจอยัยป้านี่บ่นเรื่องสายการบินอยู่
เอาเป็นว่าเราเดินทางแต่เช้าตรู่ของวันที่ 17 ก.ค. คุณนายปุ่นไม่ได้ไปด้วย แต่อุตส่าห์ขับรถไปส่งถึงสนามบิน
ฉันและน้องชายไปถึงก็มองหาเพื่อนๆ ได้ไม่ยาก บางคนก็ใส่เสื้อสีแดงออกมาจากบ้านแล้ว
มีคนที่รอรับ Boarding pass ก่อนหน้าเรา หันมาถามว่าจะไปดูบอลกันที่ไหนครับ นึกว่ามารับลิเวอร์พูล
ดูมันแซวเข้านะ ถ้ามารับทีมเป็ดแดงจริงๆ คงไม่หาญกล้าใส่เสื้อทีมแชมป์มาให้เคืองลูกตานะจะบอกให้

กว่าเราจะผ่านพิธีการของเจ้าหน้าที่สุวรรณภูมิเล่นเอาลุ้นกันเหงื่อแตก เพราะลุงแกเล่นจิ้มๆ ทีละตัวๆ
แล้วเครื่องก็จะออกแล้ว แล้วคิดดูนะ gate ที่เราต้องวิ่งไปขึ้นเนี่ย มันอยู่สุดทางเลยนะ
ทุกคนกระสับกระส่ายกันมาก ทั้งคนที่ขึ้นไปรอบนเครื่องแล้ว และคนที่ยังต่อแถวอยู่
เมื่อเรากึ่งวิ่งกึ่งเดินจนถึงเครื่อง สายการบินสีแดงก็ปลอบใจเราด้วยการส่งเจ๊นิ๊งสุดสวยมาต้อนรับ

และในนั้นไม่ต้องพูดถึง ว่าส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยสีอะไร ที่สำคัญแฟนแมนยูตัวพ่ออย่างคุณนันทขว้าง
ก็ยังร่วมทริปนี้ไปกับทีมข่าวช่องสาม (น่าจะเป็นพี่เจี๊ยบ) ถ้าจำสีผิวพี่ไม่ผิดนะ อิอิ
เครื่องไปถึงสนามบินส่วนตัวของสายการบินสีแดง ซึ่งแยกออกมาต่างหากจากสายการบินแห่งชาติ
โดยใช้เวลาเร็วกว่ากำหนด 20 นาที (กัปตันรีบโม้เลย) ทั้งๆ ที่ขากลับเลทเป็นชั่วโมง แถมฉันกลับมาเชียงใหม่
ก็ยังเลทได้อีก ขอบอก (1 ใน 3 เที่ยว เร็ว 1 ช้า 2 เป็นธรรมดาของสายการบินนี้เลย)

เราต้องนั่งสกายบัส ของสายการบินเข้าไปในตัวเมือง KL ซึ่งใช้เวลากว่าชั่วโมง แต่มีเรื่องระทึกก่อนหน้านั้น
เพราะเรายังไม่เข้าเมือง แต่ไปรอรับนักเตะแมนยูที่เช่าเหมาลำมาลงที่สนามบินใกล้ๆ และมาแบบ VIP
พวกเราทั้งกลุ่มเลยขนกระเป๋า แบกเป้ขึ้นรถบัสไปรอรับนักเตะกันที่ Bunaraya Komplex
รอกันตากแดดหัวแดง แต่ยังตัวไม่ดำ เพราะบังแถวนั้นดำกว่าพอเห็นสาวไทยสวยๆ ขาวๆ ไปกันหลายคน
ก็มาขอถ่ายรูปกันยกใหญ่ ทำให้การรอสำหรับสาวกปีศาจแดงวันนั้นไม่น่าเบื่อเกินไปนัก

เราขนกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดไปกองไว้ และมีสาวพลอยและสาวๆ อีกสองสามคนช่วยกันเฝ้า
ส่วนสาวกปีศาจแดงที่อยากเห็นนักเตะขวัญใจตัวเองอย่างใกล้ชิด ก็ไปเกาะติดรั้วไว้จนกว่ารถบัสจะผ่าน
ซึ่งเราได้เห็นนักเตะขวัญใจแต่ละคนแค่ประมาณ 30 วิ ดีที่อิฉันยังได้มีโอกาสเห็นกิ๊กส์อย่างใกล้ชิดสุดๆ
กิ๊กส์ส่งสายตาน่าเอ็นดูพร้อมรอยยิ้ม (เกมสมเพช) พวกเราเล็กๆ ที่ยอมตากแดดหัวแดงรอกริ้ดพวกเขา
และมุมที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นนักเตะเกือบครบทีมก็คือมุมที่สาวๆ นั่งเฝ้ากระเป๋ากองโตอยู่ เพราะนักเตะทุกคน
ต่างหันมาดูความประหลาดที่ไม่เคยพบเห็น (เห็นกระเป๋าและเป้แมนยูกองอยู่ เรียกรอยยิ้มจากนักเตะได้เลยทีเดียว)

เมื่อเราได้กริ้ดนักเตะคนละประมาณสามสิบวิแล้ว ก็ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับ สาวออมผู้จัดการ (จำเป็น) ประจำทริป
ต้องโทรเรียกรถบัสมารับเราอีกครั้ง เพื่อเข้าสู่ตัวเมือง KL และไป
ลงที่  KL Sentral และพวกเราก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก
บางส่วนพักที่ YMCA บางส่วนพักที่ Hotel Sentral สำหรับฉันพักกับน้องกระแต น้องสาวที่น่ารักเด็กวิศวะ มช.
น้องชายฉันไปพักกับน้องเบียร์เพื่อนร่วมทริปของกระแต ไม่น่าเชื่อว่าเราจะโชคดีได้พักกับคนเจียงใหม่เหมือนกัน

พวกเรากระเหรี่ยงแดงแยกย้ายกันเช็คอินเข้าที่พักที่ YMCA และ Hotel Sentral ตามที่ได้จองไว้ล่วงหน้า
พอหาอะไรรองท้องกันเสร็จ (ส่วนใหญ่จะพึ่งพาเซเว่นเพื่อความรวดเร็ว) เรานัดเจอกันที่สถานีรถไฟฟ้า
หรือที่เรียกว่า KL Monorail เป็นรถไฟลอยฟ้าแบบรางเดียว น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันเวลามันเลี้ยวโค้งงงงง
เห็นวิวด้านล่างชัดแจ๋ว สาวๆ บางคนไม่มีเวลากินข้าวก็ซื้อข้าวกล่องมาโซ้ยกันก่อนขึ้นสถานีกันเลยทีเดียว
ที่แน่ๆ บนสถานีรถไฟฟ้าก็ไม่ให้เอาอาหารเข้าไปกินเหมือนกันนะ เพราะฉันเผลอถือไอติมเดินผ่านที่ตรวจตั๋วแล้ว
โดนเจ้าหน้าที่ชี้หน้าให้เอาไปทิ้งเลยทีเดียว แต่ไม่มีคนเป่านกหวีดตอนเราเหยียบเส้นเหลืองนี่สิ เหมือนขาดอะไรไป

พวกเราเดินทางไปสนามแข่งเพื่อไปดูแมนยูซ้อม โดยต้องมาเปลี่ยนเส้นทางที่สถานีหางตั๋ว วันแรกเราลงบันใดผิดด้าน
ทำให้เราต้องวิ่งข้ามถนน แล้วรถก็วิ่งมากันเร็วมากกกก เพราะเค้าไม่ชิน ไม่นึกว่าจะมีคนข้ามถนนตรงนั้น
เพราะจริงๆ แล้ว ถ้าลงบันใดอีกฟากก็ไม่ต้องข้ามถนน ซึ่งเป็นความโก๊ะของพวกเราเอง
วันนั้นพวกเราจึงแปลงกายเป็นคนเกาหลีทันที คือไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าการทำอะไรเห่ยๆ แบบนี้
จะเป็น Thais people เท่านั้น เรียกว่าโยนบาปให้คนเกาหลีเห็นๆ และที่สำคัญเราทำอะไรโวกเวกโวยวายไปบ้าง
ก็ไม่ต้องอายอะไรเลย เพราะเราคนไทย เอ้ย!!! ไม่ใช่ เราเป็นคนเกาหลี และพอมาถึงสถานี Hang Tuah
เราต้องเปลี่ยนมาขึ้นรถ Rapid KL ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าและมารู้ทีหลังว่ามันลงใต้ดินได้ด้วยในตอนที่เรานั่งไปห้างกัน

ระบบขนส่งมวลชนเค้าดีมากนะ มันเชื่อมโยงถึงกันหมดเลย แล้วที่สำคัญค่าตั๋วไม่แพงด้วย
เริ่มต้นก็ประมาณ 0.7 RM สูงสุดน่าจะ 2.1 RM คิดเป็นเงินไทยก็ 7 – 21 บาท ถือว่าถูกมากๆ
พวกเราอยู่กันสองสามวันเลยได้ตะลอนทั่วเมืองแบบสบายกระเป๋ากันเลยทีเดียว
เรานั่งจากสถานีหางตั๋วมาถึง
สถานี Bukit Jaril  ซึ่งมี Bukit Jaril Stadium  ที่ใช้เป็นทั้งสนามซ้อมและสนามแข่ง
และคนทั้งขบวนที่ลงสถานีนี้ มีเครื่องแบบสีเดียวกันคือสีแดงและมีเป้าหมายเดียวกันคือมาดูบอล
เราเข้าไปในสนามที่มีการตรวจอย่างเข้มงวดคือห้ามเอาร่มเข้าไป น้ำก็เอาเข้าไปไม่ได้ แต่ก็แอบมาซื้อที่ริมรั้วได้
และเข้าไปอยู่ในส่วนของกรีนโซน ซึ่งเป็นโซนที่ฮอทมากๆ น่าจะเป็นฮอทโซนมากกว่า เพราะแดดส่องจ้าเลย

แต่สรุปว่าดูโซนนี้ได้ดูนักเตะชัดที่สุด เพราะเค้ามาวอร์มอัพกันด้านนี้พอดี และนิสัยเกาหลีก็เข้าสิงชะนีอีกครั้ง
ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอายค่ะ เพราะบังมาเลฯ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเรา นอกจากพ่นควันใส่เราไม่ยั้งเท่านั้น
อยากจะบอกว่าผ้าปิดปากที่พวกเราเตรียมไปมีประโยชน์มาก ไม่ได้ใช้ป้องกันไข้หวัด 2009 แต่ไว้ป้องกันมะเร็งค่ะ
เพราะว่าพี่บังสูบบุหรี่กันเยอะมาก เดินไปไหนๆ ก็ควันขโมงเลย พ่นข้างๆ เราเลยค่ะ เวลาเรานั่งถ่ายรูปกัน
ส่วนเราก็ด่าเลยค่ะ (ด่าเป็นภาษาไทยนี่แหละ) เพราะถ้าด่าเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษามาเลฯ อาจจะเอาชีวิตไม่รอด
พวกเราไปนั่งหน้าสุดติดขอบสนาม แต่ก็ไกลจากสนามแข่งเหมือนกัน พวกบังก็จะร้องเชียร์โอเว่นๆๆๆๆ กัน
เรียกว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ เลยค่ะ สำหรับชะนีอย่างพวกเรา ก็ต้องช่วยกันเรียกนักเตะที่รักของแต่ละคน

และอิฉันก็ได้สบตากิ๊กส์อย่างจริงๆ จังๆ เสียที แถมยังเผลอบอกคนข้างๆ ว่า กิ๊กส์มีหงอกด้วย เหมือนสามีที่บ้านเลย
เล่นเอาวัยรุ่นแถวนั้นงงว่าตกลงป้าปลื้มกิ๊กส์หรือคิดถึงสามีที่บ้านกันแน่เนี่ย (วัยรุ่นไม่ค่อยเข้าใจป้าเลย)
ป๋าเฟอร์กี้ลงมาดูลูกๆ ในทีมและสั่งให้นักเตะวิ่งไปรอบสนามเพื่อเอาใจแม่ยกและทำการวอร์มทีมให้พวกเรากริ้ดกัน
และในวินาทีนี้แหละ ที่กิ๊กส์โบกมือให้ เพื่อตัดรำคาญยัยชะนีที่กริ้ดๆ อยู่ด้านหลัง ประมาณว่าทำตูเสียสมาธิมากมาย
หลังจากนั้นนักเตะแบ่งข้างกันซ้อมที คนดูก็นั่งดูเพลินๆ ไป ใครชอบคนไหนก็ส่งเสียงเรียกแล้วจะมีคนช่วยเรียกเอง

เมื่อเกมซ้อมจบ นักเตะก็วิ่งรอบๆ สนามเพื่อขอบคุณแฟนๆ ที่มานั่งตากแดดให้กำลังใจ
และพวกเราก็ต้องมาอัดแน่นอยู่ในรถไฟฟ้า ขอบอกว่าแอร์ก็ไม่
เย็นอย่างแรงงงง กลิ่นบังก็เหม็นตุๆ
ไฟก็ติดๆ ดับๆ แถมมีโปรโมชั่นหยุดกลางทางแบบไม่ใช่สถานีด้วย ระหว่างนั้นก็จะมีวัยรุ่นเจ้าถิ่นร้องเพลง
Glory Glory Man United แล้วก็จะมีคนร้องตามทั้งขบวน เรียกว่าแก้เซ็งได้ดีเหมือนกัน
มีคนแซวว่าคนขับน่าจะเป็นแฟนหงส์หรือไม่ก็เซลซี เพราะเล่นไม่เปิดแอร์เลย กะจะฆ่าสาวกแมนยูให้ตายว่างั้นเหอะ

พวกเราเหล่าเสื้อแดงมาลงที่สถานี Pudu ด้วยการลากสังขารอันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมา ไม่ใช่ใช้พลังงานอะไรมาก
เพราะตอนเชียร์ก็ไม่เท่าไหร่ อิตอนต้องมาติดอยู่ในรถไฟฟ้าที่ไม่มีแอร์ และไฟติดๆ ดับๆ นี่แหละ เล่นเอาสยองเลย
จากนั้นเราไปเติมพลังกันด้วยบักกุ๊ดเต๋ (ไม่รู้เขียนถูกไหมนะ ไม่มีเวลาเช็ค) ซัดกันไปเต็มคราบ
แถมเฮียคนที่ทำบักกุ๊ดเต๋ให้เรากิน หน้าตาเหมือนเฮียสรยุทธ แฟนตัวพ่อของทีมหงส์มากๆ
ยังแอบคิดว่า มันจะวางยาพวกเราหรือเปล่านะ เมื่อกินเสร็จเติมพลังแล้วเราก็หาหนทางสู่ความศิวิไลซ์กัน
ด้วยการไปเดินย่านโรงแรมหรู เพื่อจะหาทางทะลุไปยังตึกแฝดเปรโตนาส และที่สำคัญคือมันอยู่ติดกับที่พักนักเตะ

เรียกได้ว่าไม่เห็นหน้าก็เห็นหลังคาตึกก็ยังดี เพื่อไปนอนมองโรงแรมแมนดารินที่พักของนักเตะแมนยู
และไปถ่ายรูปกับตึกแฝด พวกเราเกือบหมดสภาพกันแล้ว แต่มีเรื่องต้องระทึกกันอีกเนื่องจากรถไฟฟ้าจะหมด
เราต้องรีบวิ่งๆๆๆๆๆ ไปซื้อตั๋ว ซึ่งคนขายกลับหมดแล้ว ต้องซื้อผ่านตู้อัตโนมัติ กดผิดๆ ถูกๆ ลุ้นกันแทบแย่
เมื่อซื้อตั๋วได้ครบทุกคน ก็หมดสภาพไม่ห่วงสวย นั่งนอนเช็ดพื้นกันตรงที่สถานีรถไฟฟ้ากันเลยทีเดียว
กว่าพวกเราจะกลับถึงที่พักก็เลยเที่ยงคืน หมดสภาพเป็นกระเหรี่ยงหลงดอยกันเลยทีเดียว
แต่เป็นวันที่สุดแสนจะน่าจดจำมากเลยทีเดียว ทั้งเพื่อนร่วมทริป นักเตะแมนยูที่แสนน่ารัก
และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเราได้ตลอดวันที่แสนเหนื่อยวันนี้

Read Full Post »